REPORT: Human Capital and the Employment Situations of Urban Refugees in Thailand (Volume 1: Baseline Findings)

Screen Shot 2564-09-02 at 09.18.07.png

Publication date: August 2021

Publication: Human Capital and the Employment Situations of Urban Refugees in Thailand (Volume 1: Baseline Findings)

Author: Bhanubhatra Kaan Jittiang

Download the report here.

The present study emerges from an urgent need to investigate human capital and employment situations of urban refugees in Thailand to provide a basis for advo- cating their right to work. This right was intentionally omitted during the drafting of the National Screening Mechanism (NSM). Nevertheless, since urban refugees will go through the NSM process and remain temporarily in Thailand soon, Section 63 of the Emergency Decree on Managing the Work of Aliens B.E. 2560 could provide them with a channel for employment. If that scenario were possible, what would these refugees contribute to Thailand’s labor market? To answer this question, it is essential to inves- tigate human capital and the potential of urban refugees. This volume fills such gaps by providing the results of a baseline survey. In addition, as the COVID-19 pandemic remains consequential, this report explores the employment situations of urban refu- gees during the pandemic and compares it to the preceding period; this could provide additional insights into how the COVID-19 pandemic has affected refugees’ employment and vulnerabilities.

The results presented in this report provide supply-side data for recognizing the available human capital of urban refugees in Thailand. It focuses specifically on their skills, education, and prior work experience, which could be beneficial to Thai society. This report helps to identify the way urban refugees have made use of their human capital in Thailand through an exploration of their employment situations. Based on the findings of the present study, the Thai government and other stakeholders in Thai- land can plan how urban refugees could be integrated into Thailand’s labor market or how they could assist refugee employment in the long run.

BOOK CHAPTER: State, NGOs, and Villagers: How the Thai Environmental Movement Fell Silent

PIC282.jpeg

Publication date:
2021

Publication:
Environmental Movements and Politics of the Asian Anthropocene

Chapter Title:
State, NGOs, and Villagers: How the Thai Environmental Movement Fell Silent

Author:
Jakkrit Sangkhamanee

Editors:
Paul Jobin, Ming- sho Ho and Hsin-Huang Michael Hsiao

For further details on the book and how to purchase, please visit the book's website here. You can also access the chapter individually from the link above.

Abstract

In this chapter, I shed some light on the dynamism of environmental movements in Thailand, focusing on the shifting relations between keys actors as they seek to situate their political agenda within national environmental politics.

The case of Thailand provides an insight into the important relationship between environmental social movements and political spaces that alternate between the confined and the dynamic. On the one hand, environmental movements can be considered as a driving force in the process of democratization at large, the idea popularized by new social movement scholars during the 1990s and 2000s. On the other hand, the context of political regimes in which environmental movements operate also shapes the nature of their advocating agenda and actions. The dualistic relations between these two spheres of operation often fluctuate, influenced by the changing relations between diverse actors. As this chapter has illustrated, Thailand’s environmental politics during the past few decades can be described as a triangulated relation, fundamentally shaped by the ever-changing state, civil society organizations, and citizens.

ธรรมชาติเชิงวิพากษ์: การสร้างสันติภาพเชิงบวกจากระดับท้องถิ่นในภาคเหนือของประเทศไทย

เรื่องโดย แอนดรูว์ สโตน*

[English version available here]

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Figure 1. Mekong River

Figure 1. Mekong River

แม่น้ำโขงได้กั้นพรมแดนไทย – ลาว ระยะทาง 97 กิโลเมตร ตามกระแสน้ำจากสามเหลี่ยมทองคำของพม่า ลาว และไทย ตั้งแต่กลางปี 2533 ชุมชนริมน้ำในภาคเหนือของประเทศไทยได้สร้างเขตอนุรักษ์โดยชุมชนและการเคลื่อนไหวทางสังคม พวกเขารับมือต่อทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตลอดจนผลกระทบทางนิเวศวิทยาการดำรงชีวิต สังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาต่างๆ บนแม่น้ำ สิ่งเหล่านี้รวมถึงแผนการระเบิดแก่งและเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่

การเมืองของแม่น้ำโขงเป็นที่รู้จักกันดีทั้งกับนักวิชาการแม่น้ำโขงและประชาชนโดยทั่วไป ในบทความชิ้นนี้ผมได้ทำการวิเคราะห์โดยใช้กรอบตัวชี้วัดสันติภาพเชิงบวก (Positive Peace Index: PPI) เพื่อเสนอข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการตอบสนองของชุมชนต่อการพัฒนาและผลลัพธ์เชิงบวกและเชิงลบของการกระทำเหล่านั้น

มากกว่าการกำหนดนโยบายทางธุรกิจตามปกติ

โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลจะใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาของตน พวกเขามักจะดิ้นรนเพื่อให้คุณค่าและรวมเอาผลประโยชน์และความต้องการของคนในท้องถิ่นมาใช้ในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา การพึ่งพาซึ่งกันและกันของมนุษย์กับส่วนที่เหลือของโลกธรรมชาติก็เป็นเรื่องยากสำหรับนโยบายที่จะสามารถเข้าไปยึดครองได้เช่นกัน กลายเป็นที่ยอมรับมากขึ้นว่าการจัดการทรัพยากรน้ำและการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งของน้ำนั้นจะต้องมีมากกว่าเรื่องคุณภาพน้ำ ปริมาณและการแบ่งสรร ยกตัวอย่างเช่น แนวทางการเชื่อมต่อของ น้ำ-พลังงาน-อาหาร (Water-Energy-Food Nexus)[i] ได้รับการพิจารณาในนโยบายและการวางแผนอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ ในขณะเดียวกัน การประเมินระบบนิเวศแห่งสหัสวรรษ 2005 (Millennium Ecosystem Assessment)[ii] บนพื้นที่ชุ่มน้ำและน้ำ ระบุว่าทั้งระบบ แนวทางข้ามภาคส่วนหรือตามระบบนิเวศมีแนวโน้มที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (The UN Sustainable Development Goals: UNSDGs) และเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (The Millennium Development Goals: MDGs) การพิจารณาตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นระบบควรรวมถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

  1. เงินทุนอุดหนุนการผลิต

  2. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  3. การบรรทุกสารอาหาร

  4. ความล้มเหลวของตลาด

  5. ขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

  6. การทวีความรุนแรงทางการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน

  7. ขาดการตัดสินใจของภาครัฐและภาคเอกชนที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบ

งานวิจัยชิ้นอื่นๆ พบว่า การดำเนินตาม UNSDG นั้นต้องมีความเข้าใจระบบสังคมนิเวศวิทยา[iii]. การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของชุมชนกับน้ำและปัจจัยขับเคลื่อนรวมถึงผลกระทบของการดำเนินการ CBO จำเป็นต้องมีมุมมองระบบแบบกว้างที่ให้ความสำคัญกับการจับปลาตามธรรมชาติและการทำมาหากินอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับกระแสน้ำหลากตามฤดูกาลของแม่น้ำ มุมมองนี้จะรวมถึงประเพณีวัฒนธรรมและจิตวิญญาณที่เสริมสร้าง "แนวทางการจัดการ" ตามฤดูกาลและเชื่อมโยงชุมชนทางสังคมและสถานที่ มันจะประเมินความยืดหยุ่นของสถาบันในท้องถิ่นนอกเหนือจากความสามารถของรัฐ

ดัชนีสันติภาพเชิงบวก

The ดัชนีสันติภาพเชิงบวก (Positive Peace Index: PPI)[iv] เป็นกรอบที่ส่งเสริมให้เกิดความสมบูรณ์จากสิ่งที่เกริ่นมาทั้งหมดข้างต้น มันถูกสร้างและดูแลโดยสถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ ดัชนีนี้สามารถช่วยระบุตัวขับเคลื่อนและผลลัพธ์ของความพยายามในการกำหนดนโยบายโดยชุมชน

สันภาพเชิงบวกเป็นมากกว่าการปราศจากสงครามนั่นคือ “ทัศนคติ สถาบันและโครงสร้างที่รังสรรค์และจรรโลงสังคมที่สงบสุข” สันติภาพเชิงบวก “เปลี่ยนจุดศูนย์รวม...ไปสู่ด้านบวกที่สร้างเงื่อนไขให้สังคมเจริญรุ่งเรือง”[v]  ประเทศอาจเสี่ยงต่อความไร้เสถียรภาพและความรุนแรงอันเนื่องมาจากการคอร์รัปชั่น ความไม่เท่าเทียม การละเมิดสิทธิมนุษยชนและเหตุผลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เงื่อนไขเหล่านี้จะส่งผลให้คะแนนของสันติภาพเชิงบวกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก คะแนนสันติภาพเชิงบวกที่ดีนั้นมีความเกี่ยวพันกันกับความยืดหยุ่นต่อเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและระดับคะแนนที่ดีขึ้นสำหรับเป้าหมายด้านคุณภาพชีวิตและการพัฒนา

สถานบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพได้รวบรวมข้อมูลปัจจุบันจากดัชนีชุดข้อมูลและแบบสำรวจกว่า 24,700 รายการเพื่อสร้างและปรับปรุงพัฒนาสันติภาพเชิงบวก “แกนหลัก”ของสันติภาพเชิงบวกทั้ง 8 ได้มีการสรุปไว้ในตารางที่ 1 ในการวิเคราะห์ต่อไปนี้ “(+P1)” ระบุถึงตัวอย่างของความเข้มแข็งในแกนที่ 1 (รัฐบาลที่ทำหน้าที่ที่ดี) ในขณะที่ “(-P1)” หมายความว่าผู้ดำเนินการที่ให้ข้อมูลนั้นรับรู้ถึงการขาดดุลในแกนที่ 1

CSDS Table1.jpg

ตารางที่ 1: แกนหลักแห่งสันติภาพเชิงบวก 8 ประการ

P1. รัฐบาลที่ทำหน้าที่ที่ดี – ให้บริการที่มีคุณภาพ สร้างความไว้วางใจและการมีส่วนร่วม การแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเมืองและดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม

P2. สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดี – สภาพเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและสถาบันที่สนับสนุนภาคเอกชน ความสามารถในการแข้งขันทางธุรกิจและผลผลิตทางเศรษฐกิจ

P3. การกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรม – การเข้าถึงการศึกษา สุขภาพ และรายได้

P4. การยอมรับในสิทธิของคนอื่น – รับประกันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์และบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่เป็นทางการสำหรับพฤติกรรมของพลเมือง

P5. ความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน – ความสัมพันธ์กับรัฐอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเงื่อนไขภายในประเทศ

P6. การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร – สื่อที่เสรีและเป็นอิสระในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้ภาคประสังคมสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นและมีการตอบสนองต่อวิกฤติอย่างมีเหตุผล

ทุนทางสังคม

P7. ระดับของทุนทางมนุษย์ – สะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตที่สังคมส่งเสริมการศึกษา ความรู้ ผลผลิต เยาวชน การมีส่วนร่วมทางการเมืองและ

P8. การคอร์รัปชั่นระดับต่ำ – ส่งเสริมและจัดสรรทรพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เงินทุนสำหรับการบริการที่จำเป็นและความมั่นคงของพลเรือน การคอร์รั่ปชั่นระดับต่ำที่จะช่วยเพิ่มความไว้วางใจในสถาบันมากขึ้น

คะแนนสันติภาพเชิงบวกของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตามที่กำหนดโดยสถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพที่แสดงไว้ในตารางที่ 2 คะแนนดัชนีอยู่ระหว่าง 1 ถึง 5 ระดับคะแนนที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงที่สูงกว่าและระดับคะแนนที่ต่ำกว่าแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ในแง่ของการจัดอันดับทั่วโลกประเทศลุ่มแม่น้ำโขงอยู่ระหว่าง 66 ถึง 131 จากทั้งหมด 163 ประเทศ

CSDS Table2.jpg

ดัชนีสันติภาพเชิงบวกไม่ได้ครอบคลุมเนื้อหาเป็นวงกว้างแต่คุณค่าอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ มันเป็นแบบข้ามภาคส่วน (Cross – Sectoral) อีกประการหนึ่งก็คือว่ามีพื้นฐานมาจากเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและข้อมูลที่อ้างอิงตามหลักฐาน สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลคุ้นเคยและทำให้ดัชนีรวมเข้ากับการกำหนดนโยบายได้ง่าย แม้ว่าจะเป็นดัชนีระดับรัฐแต่ก็สะท้อนแง่มุมของความเป็นจริงในแต่ละวันที่อยู่ในชุมชนและที่สำคัญยังพยายามอย่างเปิดเผยที่จะเปิดช่องให้แก่ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม[vi]

การดำเนินการโดยชุมชนมีแนวโน้มที่จะยกระดับความเข้มแข็งให้แก่แกนหลักและการดำเนินการเพื่อปรับปรุง เสรีภาพในการยื่นคำร้องประท้วงหรือเจรจากับรัฐบาลอาจสะท้อนถึงความเข้มแข็งในแกนหลัก (+P1,P4,P6,P7) ชุมชนอาจใช้จุดแข็งเหล่านั้นเพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูล (-P6) การดำรงชีวิตที่เท่าเทียมกัน (-P3) การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (-P1) ความยุติธรรม (-P4) หรือการลดการคอร์รัปชั่น (-P8)

กรณีศึกษาที่ 1: การระเบิดแก่งแม่น้ำโขง

CSDS FIG2.jpg

ข้อตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านซาง – แม่โขง ได้ลงนามในปี 2543 ระหว่างรัฐบาลจีน เมียนมา ลาว และไทย[vii] จีนได้วางแผนการปรับเปลี่ยนร่องน้ำหลักเพื่อการเดินเรือขนาดใหญ่รวมไปถึงการระเบิด ขุดลอกและปรับเปลี่ยนร่องน้ำตามแนวแม่น้ำโขงรวมถึงชายแดนไทย - ลาว ทางตอนเหนือซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 97 กิโลเมตร

ในปีเดียวกันนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) โดยการให้สิทธิ์การเข้าถึงเงินทุนสนับสนุนขนาดเล็กแก่องค์กรชุมชน (Community – based Organizations: CBOs) ซึ่งรวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ดำเนินกิจกรรมในทางภาคเหนือของประเทศไทย[viii] นี่คือตัวอย่างนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนแกนหลักหลายประการของดัชนีสันติภาพเชิงบวก (+P1,P4,P7)

ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คนในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ติดกับแม่น้ำโขงรายงานว่าพวกเขาถูกกีดกันจากการเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจ (-P1) และการขาดซึ่งรายละเอียดโครงการการเดินเรือในที่ดินของรัฐ (-P6) เขื่อนต้นน้ำในประเทศจีนผลกระทบต่อการไหลของน้ำตามฤดูกาล[ix] สวนริมฝั่งแม่น้ำและระบบนิเวศวิทยาของปลา ผู้คนหวาดกลัวกับการทำมาหากินแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาแม่น้ำโขงจะได้รับผลกระทบมากขึ้น (-P3,P4) การแข่งขันทางเศรษฐกิจที่เป็นไปได้จากเรือบรรทุกสินค้าและการลงทุนของจีน (-P2) และการเข้าถึงเรือสำหรับกองทัพเรือจีนที่เพิ่มขึ้นก็สร้างความกังวลเช่นกัน[x]

ตลอดระยะเวลานี้ โครงการพัฒนาองค์กรชุมชนของไทยได้มุ่งเน้นไปที่สิทธิของประชาชนและการพึ่งพากันและกันกับระบบธรรมชาติ ในปี 2560 พวกเขาได้ดำเนินการต่อต้านโครงการการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงที่ได้ถูกนำเสนอในภาคเหนือของลาว แง่มุมของแผนการสร้างเขื่อนทับซ้อนกับข้อเสนอการเดินเรือและส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนเดียวกันหลายแห่ง มีการเสนอการประชุมระหว่างบริษัทวิศวกรรมเขื่อนรัฐบาลจีน ตัวแทนรัฐบาลลาวและไทย ตลอดถึงผู้นำหมู่บ้านในพื้นที่ องค์กรชุมชนได้ใช้อำนาจทางสังคมและการเมือง (+P7) เพื่อยืนยันที่จะพบปะในระดับเดียวกันในพื้นที่เปิดโล่งริมฝั่งแม่น้ำโขง กระบวนการนี้ช่วยเสริมรัฐบาลที่ดี (+ P1) และสิทธิในท้องถิ่น (+ P4)

ในการประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการระดับภูมิภาคได้ให้ข้อมูลและความคิดเห็น และสื่อทั้งในและต่างประเทศให้ครอบคลุมมุมมองของคนในพื้นที่ (+P6) เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและผู้ปฏิบัติงานภาคความมั่นคง (ทหารและตำรวจ) ร่วมเป็นสักขีพยานในการประชุม ในขณะที่การประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในภูมิภาคที่โดดเด่น การมีส่วนร่วมของผู้มีเกี่ยวข้องหลายภาคส่วนซึ่งพยายามแก้ไขความไม่สมดุลของอำนาจและขยายมุมมองท้องถิ่นเป็นเรื่องปกติของกลยุทธ์ที่ครอบคลุมของการรณรงค์องค์กรชุมชน 20 ปี ตัวอย่างเช่น การเดินสันติภาพ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ตามแนวชายแดนไทย - ลาว ระยะทาง 97 กิโลเมตร ยังได้เชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำทางจิตวิญญาณ กลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ จำนวนมากจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เดียวกัน[xi]

ในเดือนมกราคม 2562 หลังจากหลายทศวรรษแห่งแรงกดดัน รัฐบาลไทยได้ดำเนินการจัดประชุมสาธารณะเกี่ยวกับโครงการเดินเรือที่สำนักงานเขตที่ได้รับผลกระทบทั้ง 3 แห่ง (+P1,P6)[xii] ข้อคิดเห็นของสาธารณะชนต่อต้านโครงการนี้อย่างรุนแรงและได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะในระดับสากล[xiii] ในช่วงต้นปี 2563 ประเทศไทยได้ยกเลิกโครงการระเบิดและขุดลอกแม้ว่าจะยังคงมีข้อตกลงในการเดินเรือที่กว้างขึ้น[xiv] ดูเหมือนว่าการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับความกังวลภายในของรัฐบาบอย่างน้อยส่วนหนึ่ง ดังนั้นการต่อต้านของสาธารณชนจึงเหมาะสมและเป็นประโยชน์ (+P1,P7)[xv]

กรณีศึกษาที่ 2: โครงการอนุรักษ์ท้องถิ่น

แม่น้ำอิง เป็นลำน้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำโขงในภาคเหนือของประเทศไทยที่ไหลผ่านจังหวัดพะเยาและเชียงราย เขตอนุรักษ์ท้องถิ่นหลายแห่งและสภาประชาชนลุ่มน้ำอิงก่อตั้งขึ้นโดยองค์กรชุมชนในลุ่มน้ำอิงในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดสรรและอนุรักษ์อย่างยั่งยืนริมแม่น้ำอิง (+P7)[xvi] ปัญหาระดับลุ่มน้ำ เช่นการชลประทานและการใช้ที่ดินถูกระบุว่าก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อเกษตรกรและชาวประมงรวมถึงการระบายน้ำทิ้งตามฤดูกาลของแม่น้ำอิง (-P3)

ในช่วงเวลาเดียวกัน การค้าแม่น้ำโขงกับจีน การสร้างสะพานแห่งใหม่สู่ลาวในปี 2556 และปัจจัยอื่นๆ ทำให้รัฐบาลไทยกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) ใน 3 อำเภอชายแดนแม่น้ำโขงทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงราย (P2) โดยปกติเขตเศรษฐกิจพิเศษจะมีการตรวจสอบอย่างรวดเร็วและการยกเว้นกฎระเบียบ ในขณะเดียวกันก็เสนอสิ่งจูงใจในการลงทุนอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน ชุมชนในภาคเหนือของประเทศไทยก็รู้สึกกดดันที่จะเพิ่มความหนาแน่นในการทำการเกษตรและหารายได้เพิ่มเติมด้วยเหตุผลหลายประการที่เชื่อมโยงกับนโยบายการเกษตรของประเทศ การเพิ่มขึ้นของประชากรและการลดลงของการประมง (-P1, P3)[xvii]

นโยบายแห่งชาติปกป้องเนินเขาสูงชัน (+P1) การทำการเกษตรแบบเร่งรัดได้ครอบครองพื้นที่ลุ่มต่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผู้กำหนดนโยบายจึงให้ความสำคัญกับป่าชุมชนแบบดั้งเดิมและพื้นที่ชุ่มน้ำตามฤดูกาลซึ่งเป็นเพียงพื้นที่เดียวที่ยังคง "เปิด" สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ (P2) ในปี 2558 มีการเสนอสวนอุตสาหกรรม (สวนอุตสาหกรรม หรือ Industrial Park คือพื้นที่อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ - ผู้แปล) ในพื้นที่ชุ่มน้ำตามฤดูกาลในพื้นที่กักเก็บน้ำที่อยู่ใกล้บุญเรือง เรื่องนี้กลายเป็นกรณีที่มีรายละเอียดสูง พื้นที่นี้เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลา เห็ด และการจับสัตว์ป่าอื่นๆ และการทำมาหากินตามวิถีชีวิตของชุมชน (+P3) แม้ว่าพื้นที่จะอยู่ภายใต้แรงกดดันในการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อการรื้อถอนไม้และข้อเสนอการแปลงพื้นที่เพาะปลูกสำหรับสวนอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองต่อข้อสงสัยของคนในท้องถิ่น ชาวบ้านตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้น (P2) และความเท่าเทียมกันในการแจกจ่ายสิ่งเหล่านั้น (P3) หลังจากการคัดค้านแผนเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างมีนัยสำคัญ ข้อตกลงการอนุรักษ์ป่าชุมชนถูกทำให้เป็นทางการแทน ในปี 2563 พื้นที่ชุ่มน้ำตามฤดูกาลของป่าบุญเรืองได้รับรางวัลสิ่งแวดล้อมระดับโลก UNDP Equator Prize ซึ่งตระหนักถึงคุณค่าของความสำเร็จนี้ และชุมชนโดยรอบถือว่าการแสวงหาสถานะของเขตอนุรักษ์ป่าบุญเรืองเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับโลกภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ระหว่างประเทศ[xviii]  

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

บทสรุป: การมีส่วนร่วมในท้องถิ่นเพื่อสันติภาพเชิงบวก

ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 ประเทศไทยประสบกับวิกฤตการเงินครั้งใหญ่หลายครั้ง การรัฐประหารโดยกองทัพ 2 ครั้ง การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและสังคมตลอดจนความขัดแย้ง อาจจะดูเหมือนว่าขัดแย้งกันในกลุ่มผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยอย่างกระตือรือร้น เช่น กลุ่มองค์กรชุมชนในภาคเหนือของประเทศไทยที่มีส่วนช่วยทำให้เกิดสันติภาพเชิงบวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงของขัดแย้งที่รุนแรงในบางกรณี จากการวิเคราะห์ข้างต้น ผมสรุปได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นได้ยกระดับจุดแข็งของแกนหลักของดัชนีสันติภาพเชิงบวกเพื่อสร้างพื้นที่ทางการเมืองและขีดความสามารถในการมีส่วนร่วมสำหรับท้องถิ่นมากขึ้นและยังได้รับการสนับสนุนเงินทุนบางส่วนจากรัฐผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สิ่งนี้อาจดูเหมือนขัดแย้งกับความจำเป็นซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ของผู้กำหนดนโยบายจากบนลงล่าง (top-down policy maker) อย่างไรก็ตามการรวมตัวกันของการกระทำเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานหลายทศวรรษมีแนวโน้มที่จะต่อต้านความไม่มั่นคงโดยการสนับสนุนเงื่อนไขในท้องถิ่น นโยบายระดับชาติ และความสัมพันธ์ระดับท้องถิ่นกับรัฐบาลแห่งชาติที่มีความเทียบเคียงกับระดับคะแนนดัชนีสันติภาพเชิงบวกที่ดี

องค์กรชุมชนเหล่านี้ยังผลักดันให้เกิดวิธีคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับนโยบาย พวกเขาเน้นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างผู้คนและธรรมชาติในการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายและพวกเขาเสนอแนวทางต่างๆ เช่น การรวมสิทธิธรรมชาติไว้ในนโยบาย[xix] รายงานทางวิชาการและองค์กรต่างๆ ตลอดรวมถึงการจัดประชุมสาธารณะได้เพิ่มความชอบธรรมให้กับแนวคิดเหล่านั้น ดังที่นักวิชาการนามว่า Joanne Barker ได้ตั้งข้อสังเกต น้ำ “สอนให้เราคิดเกี่ยวกับองค์ความรู้ในการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง” และ “ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อและปฏิสัมพันธ์ระหว่างน้ำ ดินและอากาศ ระหว่างมนุษย์และสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์”[xx]

การปรับกรอบนโยบายและการกำหนดมุมมองของระบบเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างสิทธิในธรรมชาติและความเป็นประชาธิปไตยของการจัดการในกฎหมายและวัฒนธรรมต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง หากนโยบายคือการสร้างเงื่อนไขให้สังคมเจริญแล้ว [xxi] แนวทางในการกำหนดนโยบายจะต้องอำนวยความสะดวกในการทำความเข้าใจและตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับ 1). อำนาจ เช่น ความเคารพต่อมนุษย์ และ 2). ธรรมชาติของความสัมพันธ์ เช่น การเคารพใน 'ธรรมชาติ' และการพึ่งพาซึ่งกันและกันของมนุษย์กับส่วนอื่นๆ ของโลกธรรมชาติ องค์กรชุมชนที่ได้รับข้อมูลและการสนับสนุนได้มีการยกประเด็นเหล่านี้และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อกันระหว่าง น้ำ – พลังงาน - อาหาร[xxii] และคำแนะนำการประเมินระบบนิเวศแห่งสหัสวรรษ (Millennium Ecosystem Assessment)[xxiii]

การนำดัชนีสันติภาพเชิงบวกมาใช้เป็นกรอบสำหรับผลการวิเคราะห์นโยบายในการตระหนักถึงคุณค่าของการมีส่วนร่วมที่สำคัญขององค์กรชุมชนต่อความมั่นคง สังคมที่เท่าเทียมกันด้วยความสามารถระดับสูงของมนุษย์และความสัมพันธ์เชิงบวกมิฉะนั้นแล้วการกระทำขององค์กรชุมชนเหล่านั้นอาจถูกมองโดยผู้กำหนดนโยบายว่าเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุสิ่งสำคัญของการวางแผนที่ได้กำหนดไว้ในระดับชาติ ดัชนีสันติภาพเชิงบวกมีช่องว่างบางอย่างที่ต้องใช้วิวัฒนาการเพิ่มเติมในการเป็นเครื่องมือหรือการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์เพิ่มเติมพร้อมกัน การประเมินมูลค่าทางจิตใจ เศรษฐกิจที่ไม่ใช่เงินสดและคุณค่าทางจิตวิญาณไม่ได้มีการปรากฎอย่างเปิดเผยในกรอบดัชนีสันติภาพเชิงบวก และคำศัพท์ดัชนีสันติภาพเชิงบวก เช่น “ทุนมนุษย์” ไม่ได้สะท้อนถึงความเข้าใจของคนในท้องถิ่นเกี่ยวกับขีดความสามารถและความสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างเต็มที่แต่ดัชนีสันติภาพเชิงบวกสามารถช่วยให้ความชัดเจนแก่ผู้กำหนดนโยบายถึงสิ่งที่ผลักดันการดำเนินการของชุมชนและการแสดงความจำนงนี้ให้ความกระจ่างและตระหนักรู้ถึงบทบาทสำคัญขององค์กรชุมชนในการสร้างสันติภาพเชิงบวกจากระดับท้องถิ่น

——-
*แอนดรูว์ สโตน เป็นนักระบบนิเวศวิทยา นักการศึกษาและพันธมิตรสันติภาพของโรตารี (Rotary Peace Follow) มีพื้นที่ทำงานอยู่ในลุ่มแม่น้ำโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในทุกๆ ปีเขาจะใช้เวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ปี 2554 ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างในการสนับสนุนองค์กรชุมชนและเครือข่ายโดยให้ความสำคัญกับแม่น้ำและการพัฒนา

[i] Simpson, G. and G.P.W. Jewitt (2019, February). The Development of the Water-Energy-Food Nexus as a Framework for Achieving Resource Security: A Review. Front. Environ. Sci., (8). https://doi.org/10.3389/fenvs.2019.00008

[ii] Millennium Ecosystem Assessment (2005). Ecosystems And Human Well-Being: Wetlands And Water Synthesis. World Resources Institute, Washington, DC. https://www.millenniumassessment.org/documents/document.358.aspx.pdf  (Accessed 20 November, 2020.)

[iii] Masterson, V. A., R. C. Stedman, J. Enqvist, M. Tengö, M. Giusti, D. Wahl, and U. Svedin. (2017). The contribution of sense of place to social-ecological systems research: a review and research agenda. Ecology and Society 22(1):49. https://doi.org/10.5751/ES-08872-220149

[iv] Institute for Economics & Peace (2019). Positive Peace Report 2019: Analysing the Factors that Sustain Peace. IEP, Sydney. https://www.visionofhumanity.org/wp-content/uploads/2020/10/PPR-2019-web.pdf (Accessed 16 February, 2020.)

[v] Ibid, 10.

[vi] Ibid, 10.

[vii] Agreement on Commercial Navigation on Lancang-Mekong River among the Governments of the People’s Republic of China, the Lao People’s Democratic Republic, the Union of Myanmar and the Kingdom of Thailand (April 2000). https://www.jcccn.org/images/rule/Agreement.pdf (Accessed 16 February, 2020.)

[viii] Community Organizations Development Institute (date unknown). Finding new ways for government to support communities at scale. https://en.codi.or.th/about/history-of-codi/ (Accessed 20 November, 2020.)

[ix] Lu, X.X. and R. Y. Siew (2006). Water discharge and sediment flux changes over the past decades in the Lower Mekong River. Hydrol. Earth Syst. Sci., 10, 181–195, 2006. Retrieved from https://www.hydrol-earth-syst-sci.net/10/181/2006/hess-10-181-2006.pdf (Accessed 23 November, 2020.)

[x] AFP (2020). The 97km that frustrate China's mastery of the Mekong. Bangkok Post. https://www.bangkokpost.com/world/1832839/the-97kms-that-frustrate-chinas-mastery-of-the-mekong (Accessed 16 February, 2020.)

[xi] Author interviews with Noparat Lamun (local organizer), Dr. Apisom Intralawan (MaeFahLuang University), and Dr. Carl Middleton (Chulalongkorn University) in November 2020 supplemented by personal field notes and prior interviews from 2009 to 2020.

[xii] Deetes, P. (2019, January 4). Sudden Public Hearing on Mekong “Rapids-Blasting” Project Catches Community Group by Surprise. CTN News. https://www.chiangraitimes.com/featured/sudden-public-hearing-on-mekong-rapids-blasting-project-catches-community-group-by-surprise/ (Accessed 16 February, 2021.)

[xiii] Stone, A. (2019, January 28). Chinese company consults locals over Mekong blasting. China Dialogue. https://www.chinadialogue.net/article/show/single/en/11040-Chinese-company-consults-locals-over-Mekong-blasting (Accessed 20 November, 2020.)

[xiv] Thepgumpanat, P. (2020). Thailand scraps China-led project to blast open Mekong River. Reuters. https://www.reuters.com/article/us-thailand-china/thailand-scraps-china-led-project-to-blast-open-mekong-river-idUSKBN1ZZ1T6 (Accessed 16 February, 2020.)

[xv] Author interviews.

[xvi] Wajjwalku, S. (2019). Chapter 6 Civil Society and Water Governance in Northern Thailand: Local NGOs and Management of Mekong’s Tributaries in Chiang Rai. In K. Otsuka (Ed.), Interactive Approaches to Water Governance in Asia (1st ed., pp. 123-154). Springer Nature Singapore Pte Ltd. https://doi.org/10.1007/978-981-13-2399-7.

[xvii] Author interviews.

[xviii] RECOFTC (2020, June). Boon Rueang Wetland Forest Conservation Group of Thailand wins global environmental award: The Equator Prize. https://www.recoftc.org/press-releases/boon-rueang-wetland-forest-conservation-group-thailand-wins-global-environmental (Accessed 26 November, 2020.)

[xix] Author interviews.

[xx] Barker, J. (2019). Confluence: Water as an Analytic of Indigenous Feminisms. American Indian Culture and Research Journal, 43:3. https://doi.org/10.17953/aicrj.43.3.barker

[xxi] Institute for Economics & Peace (2019).

[xxii] Simpson (2019).

[xxiii] Millennium Ecosystem Assessment (2005).

Figures, Tables, Photos

Figure 1: Product of the Transboundary Freshwater Dispute Database, College of Earth, Ocean,   and Atmospheric Sciences, Oregon State University. Additional information about the            TFDD can be found at: http://transboundarywaters.science.oregonstate.edu. Retrieved from          https://transboundarywaters.science.oregonstate.edu/database-and-research/galleries/asia-   gallery (Accessed 16 February, 2021.)

Figure 2: Basemap data from Esri, DigitalGlobe, GeoEye, i-cubed, USDA FSA, USGS, AEX,     Getmapping, Aerogrid, IGN, IGP, swisstopo, and the GIS User Community.

Tables 1 - 2: Institute for Economics & Peace, Positive Peace Report 2019.

Photos: Copyright 2021, Andrew Stone.

 

ธรรมชาติเชิงวิพากษ์: การให้คุ้มครองผู้สื่อข่าวที่ทำงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: เครือข่ายสภาการสื่อมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถช่วยได้หรือไม่?

เรื่องโดย อะนิซะ วิดิยะซะรี*

[English version available here]

ภาพการตัดไม้ทำลายป่าในเมืองบอร์เนียว (ภายถ่ายโดย INDOMET in the Heart of Borneo, WIKIMEDIA COMMONS

ภาพการตัดไม้ทำลายป่าในเมืองบอร์เนียว (ภายถ่ายโดย INDOMET in the Heart of Borneo, WIKIMEDIA COMMONS

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การทำงานของนักสื่อสารมวลชนอาจจะกลับกลายเป็นอันตรายต่อผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อมผู้ซึ่งเผชิญกับภัยคุกคาม การถูกทำร้ายร่างกายและบางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องด้วยสาเหตุจากการทำงานของพวกเขาเหล่านั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งเนื่องจากผู้สื่อข่าวที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นแนวหน้าในการทำภาระกิจของเราที่ทำงานเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมเพราะพวกเขานั้นมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการจัดอันดับ[i] ให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรมากที่สุดสำหรับนักข่าวและผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมายสำคัญในการถูกคุกคามและในบางกรณีอาจถูกสังหารด้วยซ้ำ สำนักข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่าการรายงานข่าวด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในสายงานที่อันตรายที่สุดรองจากการทำข่าวสงคราม[ii]. จากรายงานของ Reporters Sans Frontières (RSF) ในปี 2559 พบว่าการสังหารนักข่าวด้านสิ่งแวดล้อมร้อยละ 90 ถูกค้นพบในเอเชียโดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุด[iii].

 หน่วยงานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในการทำหน้าที่คุ้มครองนักข่าวและเสรีภาพสื่อมวลชน คือ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ (National Press Councils) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตนเองที่ตั้งขึ้นโดยสื่อมวลชนเพื่อรักษาความมั่นใจต่อสาธารณชน พวกเขาได้มีการกำหนดมาตราฐานวิชาชีพสำหรับนักข่าวและกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อให้ผู้ที่ตกอยู่ในข่าวสามารถร้องเรียนได้หากเกิดความไม่ถูกต้องจากการนำเสนอข่าว[iv] ดังนั้น สภาการสื่อมวลชนจึงมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบความรับผิดชอบของสื่อ สภาการสื่อมวลชนยืนหยัดกับการทำข่าวที่ดีมีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้เนื่องจากเป็นการส่งเสริมจรรยาบรรณสำหรับนักข่าวและตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดจรรยาบรรณนี้[v] เพื่อปฏิบัติตามกฎของสภาการสื่อมวลชน นักข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อจึงประกาศการอุทิศตนเพื่อคุณค่าของความเที่ยงธรรมเพื่อคนส่วนใหญ่และประชาธิปไตย

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาการสื่อมวลชนมีปรากฏอยู่เพียง 5 ใน 11 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เมียนมา และติมอร์ - เลสเต ในปี 2562 สภาการสื่อมวลชนจำนวน 4 แห่ง ได้จัดตั้งเครือข่ายสภาการสื่อมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPC-Net) โดยอ้างถึงความจำเป็นในการร่วมมือในระดับภูมิภาค แนวคิดของความร่วมมือระดับภูมิภาคนี้ถูกมองว่าเป็นประโยชน์ในการพยายามที่จะพัฒนาเสรีภาพสื่อมวลชนในภูมิภาค ความร่วมมือระดับภูมิภาคสามารถจัดการกับความท้าทายและโอกาสของสื่อมวลชนระดับภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งเป็นเวทีสำหรับนักข่าวในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน

บทความนี้จะศึกษาถึงสถานะปัจจุบันของการทำข่าวด้านสิ่งแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทำการสำรวจว่าเครือข่ายสภาการสื่อมวลชนระดับภูมิภาคจะสามารถช่วยคุ้มครองนักข่าวด้านสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สถานะของเสรีภาพสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เผชิญกับสถานการณ์วิกฤตในเรื่องเสรีภาพขั้นพื้นฐานซึ่งรวมถึงเสรีภาพสื่อมวลชน (ตามรายงานเสรีภาพสื่อมวลชนหลายฉบับและดัชนีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งรวมถึง Reporters Sans Frontières (RSF) [vii] และ Freedom House[viii] แม้จะมีกฎบัตรอาเซียนและปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอาเซียนซึ่งกำหนดว่าอาเซียนและประเทศสมาชิกจะต้องเคารพ“สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในการแสดงออกของทุกคน รวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซงและเพื่อแสวงหา การได้รับและการให้ข้อมูล”[ix] แนวโน้มปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าพื้นที่สำหรับสาธารณะในการแสดงความคิดเห็นกำลังหดหายไปทั่วทั้งภูมิภาค

รูปที่ 1. ผลการดำเนินงานของประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในดัชนีเสรีภาพสื่อมวลชน จัดทำโดย RSF[x] และ Global Freedom Index ข้อมูลโดย Freedom House[xi], 2020

รูปที่ 1. ผลการดำเนินงานของประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในดัชนีเสรีภาพสื่อมวลชน จัดทำโดย RSF[x] และ Global Freedom Index ข้อมูลโดย Freedom House[xi], 2020

ตามดัชนีเสรีภาพสื่อมวลชนโลกประจำปี 2563 จาก RSF ระบุว่าติมอร์ – เลสเต เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ติด 100 อันดับแรก ส่วนประเทศที่เหลือยกเว้นมาเลเซียและอินโดนีเซียอยู่ในสามอันดับสุดท้ายของรายชื่อทั้งหมด เวียดนามเป็นประเทศที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในแง่ของเสรีภาพสื่อมวลชนในภูมิภาค ในขณะเดียวกันรายงานปี 2563 จาก Freedom House แสดงให้เห็นว่านอกเหนือจากประเทศติมอร์ – เลสเต ก็ไม่มีประเทศใดในภูมิภาคนี้ที่สามารถจัดประเภทเป็น "การเป็นอิสระ" ในเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และไทย "การมีเสรีภาพในบางส่วน" ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ "การไม่เป็นอิสระ" ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ร้ายแรงที่นักข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญ

ข้อมูลดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงประวัติที่ย่ำแย่ของรัฐบาลในภูมิภาคนี้ในการรักษาเสรีภาพสื่อมวลชน แม้ว่าสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนจะได้รับการยอมรับในตราสารด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มาตรา 19 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซงและในการแสวงหา การรับและส่งต่อข้อมูลและความคิดผ่านสื่อใดๆ และโดยไม่คำนึงถึงพรมแดน”

 นอกจากนี้ประเทศต่างๆในภูมิภาค ยกเว้น บรูไน มาเลเซีย เมียนมา และสิงคโปร์ ยังได้เป็นภาคีลงนามในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) โดยกติการะหว่างประเทศนี้ยังรับรองเสรีภาพของสื่อมวลชนดั่งที่ปรากฏในมาตรา 19 ซึ่งอธิบายว่า “ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธินี้จะรวมถึงเสรีภาพในการแสวงหา การรับและให้ข้อมูล และความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูด เป็นลายลักษณ์อักษรหรือการจัดพิมพ์ในรูปแบบของงานศิลปะหรือผ่านทางสื่ออื่นๆ ที่เขาได้เลือกกระทำ"

ปัจจุบันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพียง 5 ประเทศเท่านั้นที่มีสภาการสื่อมวลชน ได้แก่ อินโดนีเซียฟิลิปปินส์ ไทย เมียนมา และติมอร์ - เลสเต การปรากฏตัวของหน่วยงานกำกับดูแลตนเองเหล่านี้ในประเทศขนาดเล็กในภูมิภาคเป็นการแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของมาตราการของรัฐที่ตั้งอยู่โดยรอบในภูมิภาคแห่งนี้ แทนที่จะเป็นการมาตราการดูแลตนเองของสื่อในการจัดการกับปัญหาทางด้านจริยธรรมและเสรีภาพของสื่อ การมีอำนาจของรัฐที่ควบคุมหรือเป็นเจ้าของสื่อได้ขัดขวางการเกิดขึ้นขององค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบแนวทางการปฏิบัติด้านจริยธรรมของสื่อรวมทั้งการส่งเสริมเสรีภาพทางด้านการทำงานของสื่อมวลชน

 การคุกคามนักข่าวทางด้านสิ่งแวดล้อม

การคุกคามนักข่าวทางด้านสิ่งแวดล้อมโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นเรื่องปกติอย่างมากในภูมิภาคนี้ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้บางครั้งได้ส่งผลถึงชีวิตของผู้สื่อข่าว ความเสี่ยงสูงของผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญนั้นมีความใกล้เคียงกับภัยคุกคามร้ายแรงที่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต้องเผชิญ ยกตัวอย่างเช่น นักเคลื่อนไหวทางด้านสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลกจำนวน 164 คน ถูกสังหารในปี 2018 โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์พบว่าเป็นประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม เพียงแค่ในปีดังกล่าวพบว่ามีนักอนุรักษ์และปกป้องสิ่งแวดล้อมจำนวนทั้งสิ้น 30 คนที่ถูกฆาตกรรม[xii]

 หนึ่งในกรณีที่น่าอับอายที่สุดของการสังหารนักข่าวด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศฟิลิปปินส์เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2560 เมื่อนาย มาริโอ คอนทาโออิ (Mario Contaoi) นักวิชาการศึกษาและอดีตผู้ประกาศข่าวด้านการปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต บ่อยครั้งที่ นายคอนทาโออิ มักจะพูดจาอย่างโผงผางในการต่อต้านทหารอย่างหนักหน่วงในสถานที่ที่มีโครงการที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งอยู่[xiii] จนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุตัวผู้ทำร้ายและแรงจูงใจในการฆาตกรรมครั้งนี้ได้[xiv]

ในประเทศกัมพูชา นาย เฮ็ง เสเรีย โอโดม (Hang Serei Odom) ผู้สื่อข่าวของ Virakchun Khmer Daily ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ภาษาเขมร ถูกพบว่าเสียชีวิตในท้ายรถของตนเองที่สวนมะม่วงหิมพานต์ ในอำเภอโอจุม (O'Chum) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดรัตนคีรี (Ratanakiri) ในเดือนกันยายน 2555 นาย เฮ็ง เสเรีย โอโดม ได้มีการรายงานบ่อยครั้งเกี่ยวกับการแอบลักลอบตัดต้นไม้ในจังหวัดดังกล่าว[xv] ร้อยเอกสารวัตรทหารในพื้นที่และภรรยาของเขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมในเบื้องต้นแต่หลังจากนั้นข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป[xvi]

ประเทศเมียนมา ยังคงเป็นสถานที่ที่อันตรายในการรายงานข่าวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม นาย ซอว์มอ ตุน (Soe Moe Tun) ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นของหนังสือพิมพ์ Daily Eleven ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตเมื่อเดือนธันวาคม 2559 เหตุการณ์นี้ไม่พบผู้กระทำความผิดและแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมแต่ในขณะก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้นเขากำลังสืบสวนเรื่องราวของการลักลอบตัดไม้และการลักลอบขนไม้ในเขตซะไกง์ (Sagaing Region) [xviii] (ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเมียนมา) เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ ในเดือนตุลาคม นาย คอติน ซอว์โอ (Ko Tim Zaw Oo) นักข่าวอีกคนหนึ่งที่รายงานและเขียนบทความเกี่ยวกับโรงเลื่อยไม้ผิดกฎหมายที่ตั้งอยู่ในเมืองตะเบจิ้น (Thabeikkyin Township) ได้รับการข่มขู่และถูกคุกคามจนต้องหลบหนีซ่อนตัว[xix]

ในอินโดนีเซีย มาราเด็น เซียนิปาร์ และ มาตัวร์ ซิเรก้า (Maraden Sianipar and Martua Siregar) สองนักข่าวที่ได้รายงานการปลูกปาล์มน้ำมันผิดกฎหมายทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราถูกพบเป็นศพลอยอยู่ในคูน้ำใกล้สวนปาล์มเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากการตายของ กอร์ฟิด ซิเรก้า (Golfrid Siregar) นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักจากทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา[xx] ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 คน รวมถึงเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันบนเกาะสุมาตราที่เป็นสถานที่พบศพของนักข่าวทั้งสองราย โดยพวกเขาเหล่านั้นได้ถูกตั้งข้อฆาตกรรมโดยเจตนา[xxi]

การรายงานข่าวด้านสิ่งแวดล้อมไม่เพียงแต่มีความเสี่ยงสำหรับนักข่าวเท่านั้นแต่ยังเป็นอันตรายต่อชุมชนในพื้นที่เนื่องจากการทำข่าวด้านสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่จะครอบคลุมถึงกรณีที่ชุมชนได้รับผลกระทบอีกด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสยดสยองที่สุดคือการเสียชีวิตของ ชุต วุตตี้ (Chut Wutty) ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในกรุงพนมเปญซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารขณะพานักข่าวสองคนไปใกล้สถานที่ลักลอบตัดไม้อย่างผิดกฎหมายในเดือนเมษายน 2555[xxii]

อันตรายของการรายงานข่าวด้านสิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงความเสี่ยงทางกฎหมายอีกด้วย การล่วงละเมิดทางกฎหมายเป็นรูปแบบหนึ่งของการคุกคามนักข่าวด้านสิ่งแวดล้อมที่พบบ่อยที่สุด รัฐบาลในภูมิภาคนี้มีความเชี่ยวชาญในการผ่านและบังคับใช้กฎหมายในเพื่อปราบปรามและปิดปากผู้ไม่เห็นด้วย เมื่อไม่นานมานี้การเติบโตของแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของกฎหมายที่มุ่งเป้าไปที่การควบคุมการสื่อสารมวลชนบนเว็บไซต์และการรายงานทางออนไลน์

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 ทุ่งคำ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ได้ยื่นคำฟ้องต่อนักข่าวหลายคนจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส (Thai PBS) ซึ่งเป็นช่องโทรทัศน์สาธารณะในประเทศเกี่ยวกับคลิปนักข่าวพลเมืองที่เผยแพร่ค่ายเยาวชนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย[xxiii] ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องร้องเรียนโดยอ้างถึงประมวลกฎหมายอาญาแห่งประเทศไทย มาตรา 326 ในข้อหาหมิ่นประมาทในพื้นที่สาธารณะ[xxiv] จากข้อมูลของ Fortify Rights ในช่วงปี 2553 – 2561 หจก.ทุ่งคำ ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญาและทางแพ่งอีกอย่างน้อย 19 คดีกับชาวจังหวัดเลย 33 คน รวมถึงสมาชิกกลุ่มรักบ้านเกิด (Khon Rak Ban Kerd Group: KRBKG) ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการรวมกลุ่มประท้วงต่อต้านการทำเหมืองแร่ทองคำในท้องถิ่น[xxv]

การคุกคามทางกฎหมายนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่นักข่าวภายในประเทศเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงนักข่าวต่างประเทศอีกด้วย ในกรณีของประเทศอิโดนีเซียที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ฟิลิปส์ จาค็อบสัน (Philip Jacobson) บรรณาธิการแพลตฟอร์มการอนุรักษ์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 จากนั้นต่อมาถูกจับกุมอีกครั้งในวันที่ 21 มกราคม 2563 โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของอินโดนีเซียกล่าวหาว่าเขาละเมิดเงื่อนไขวีซ่าของตนเอง[xxvi]  จาค็อบสัน เคยเขียนบทความให้กับ Mongabay เกี่ยวกับการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของอินโดนีเซียในเกาะบอร์เนียวและมักวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีชาวอินโดนีเซีย Joko Widodo เกี่ยวกับประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมของเขาในอดีต[xxvii]

สภาการสื่อมวลชนจะทำงานเพื่อสนับสนุนหรือปกป้องนักข่าวต่างๆ ในกรณีดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เนื่องจากในประเทศที่มีสภาผู้สื่อข่าวบทบาทของพวกเขาในกรณีการละเมิดเหล่านี้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปแล้วอำนาจของสภาการสื่อมวลชนเกี่ยวข้องกับจริยธรรมและจรรยาบรรณของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแทรกแซงการดำเนินคดีทางกฎหมายได้เมื่อมีการฟ้องร้องผู้สื่อข่าวในศาลเกิดขึ้น บทบาทของสภาการสื่อมวลชนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะสร้างการรับรู้เกี่ยวกับคดีและกดดันให้รัฐบาลของพวกเขายึดมั่นในหลักการของเสรีภาพสื่อมวลชนซึ่งเป็นบทบาทที่สามารถขยายความข้ามภูมิภาคได้โดยเครือข่ายที่ดำเนินงานอยู่ของสภาการสื่อมวลชนระดับภูมิภาค เครือข่ายสภาการสื่อมวลชนสามารถช่วยในการรวบรวมยุทธศาสตร์การสนับสนุนช่วยเหลือในระดับภูมิภาคในการกดดันรัฐบาลแต่ละประเทศเพื่อรับรองเสรีภาพสื่อมวลชนในประเทศของตน

วารสารสิ่งแวดล้อมเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

เช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการพัฒนาหลายๆ โครงการอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในท้องถิ่น นักข่าวมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาเหล่านี้ นอกเหนือจากองค์กรภาคประชาสังคม (CSO) และองค์กรอื่นๆ แล้ว ผู้สื่อข่าวยังมีส่วนช่วยในเรื่องความโปร่งใสและความรับผิดชอบในโครงการของภาครัฐที่ดำเนินการโดยรัฐบาลและการลงทุนของภาคเอกชน เสรีภาพสื่อมวลชนจึงเป็นเสาหลักสำคัญในการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้

ในเดือนธันวาคม 2561 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคมหรือในชื่อภาษาอังกฤษที่ว่า “Center for Social Development Studies (CSDS)” ได้จัดการประชุมเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นเวทีสาธารณะภายใต้ชื่อ “การเมืองทรัพยากรและพื้นที่สาธารณะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: การพิจารณาอย่างรอบคอบ การแสดงความรับผิดชอบและทางเลือก”[xxviii] ซึ่งได้กล่าวถึงความท้าทายของการหดตัวลงของพื้นที่สาธารณะในภูมิภาครวมถึงสื่อมวลชนด้วย งานนี้ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของพื้นที่สาธารณะ สื่อมวลชนและโซเชี่ยลมีเดียในการปกป้องชุมชนท้องถิ่นและการดำรงชีวิตของชุมชน ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรายงานด้านสิ่งแวดล้อมในฐานะเสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืน จากการอภิปรายในงานดังกล่าวเห็นได้ชัดว่านักข่าวสามารถช่วยส่งเสริมข่าวสารของการพัฒนาที่ยั่งยืนได้โดยการเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจและช่วยให้ความรู้แก่สาธารณชนโดยผ่านกระบวนการนี้

หนึ่งตัวอย่างของบทบาทสื่อมวลชนในการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ การรายข่าวเกี่ยวกับหัวข้อปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมในบริเวณโดยรอบแม่น้ำโขง ซึ่งนักข่าวได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับภัยอันตรายที่ส่งผลต่อระบบนิเวศในลุ่มแม่น้ำโขงและผลกระทบที่เกิดจากโครงการพัฒนาต่างๆ อาทิ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีกระทบต่อการดำรงชีวิตและสุขภาพของประชาชน[xxix] เครือข่ายนักข่าวแม่น้ำโขง (Mekong Matters Journalism Network) ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2557 ช่วยเชื่อมโยงและฝึกอบรมนักข่าวในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างและพวกเขาได้ผลิตเรื่องราวมากมายที่ครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ภัยแล้ง โรงไฟฟ้าถ่านหินและไฟฟ้าพลังน้ำ[xxx]

ความคิดริเริ่มเชิงบวกแบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากได้มีการนำไปกระทำซ้ำที่อื่นในภูมิภาคแห่งนี้และนี่คือสิ่งที่เครือข่าย สภาการสื่อมวลชนระดับภูมิภาคสามารถแสดงบทบาทอันสำคัญในการจัดหาเวทีสำหรับนักข่าวในภูมิภาคได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ใช่เพียงแต่จะเกี่ยวข้องกับข่าวสารและเรื่องราวเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและความคิดริเริ่มที่จะสามารถช่วยเพิ่มบทบาทในการให้ความรู้แก่สาธารณชนได้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

การใช้เครือข่ายสื่อมวลชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ตัวอย่างหนึ่งของเครือข่ายสภาการสื่อมวลชนระดับภูมิภาคที่มีอยู่ คือ พันธมิตรสภาการสื่อมวลชนอิสระในสหภาพยุโรป (Alliance of Independent Press Councils in Europe: AIPCE) ซึ่งเป็นเครือข่ายแบบหลวมๆ ของสภาการสื่อมวลชนในสหภาพยุโรป (European Press Councils) [xxxi] สำหรับทั้งสื่อโดยทั่วไปและสื่อวิทยุกระจายเสียง เครือข่ายได้จัดให้มีการประชุมเป็นประจำทุกปีซึ่งเป็นเวทีสำหรับสื่อมวลชน สภาการสื่อมวลชนและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับจริยธรรมการสื่อสารมวลชนและเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์และข้อมูล เครือข่ายนี้ถูกมองว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้ระหว่างกันและได้หารือเกี่ยวกับความท้าทายที่พบบ่อยครั้ง รวมทั้งการแบ่งปันคำแนะนำเกี่ยวกับการทำให้สภาผู้สื่อข่าวในแต่ละประเทศเป็นอิสระและมีความยั่งยืนทางการเงิน[xxxii]

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เครือข่ายสภาการสื่อมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Press Councils Network: SEAPC-Net) ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ.2562 โดยมีสภาการสื่อมวลชนอินโดนีเซีย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งเมียนมา สภาการหนังสือพิมพ์ติมอร์-เลสเต และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติของประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งโดยผ่านปฏิญญากรุงเทพ[xxxiii] ในคำประกาศดังกล่าวพวกเขาได้เอ่ยถึงความจำเป็นในการร่วมมือระดับภูมิภาคระหว่างสภาการสื่อมวลชนและการยอมรับถึงความท้าทายที่มีความใกล้เคียงกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของเสรีภาพสื่อมวลชน หนึ่งในกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกันในปี 2563 คือการออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม เกี่ยวกับการป้องกัน COVID-19 โดยเครือข่ายได้เตือนสื่อมวลชนให้ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานในจรรยาบรรณของนักข่าวอยู่เสมอ รวมทั้งการปฏิบัติตามพิธีสารด้านสุขภาพและความปลอดภัยเมื่อรายงานกรณีของผู้ติดเชื้อ COVID-19[xxxiv] เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา พวกเขายังจัดประชุมสามัญประจำปีซึ่งกำหนดแผนสำหรับปี 2564 รวมถึงการขยายเครือข่ายและจัดสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมเสรีภาพและจริยธรรมของสื่อมวลชนในภูมิภาค[xxxv]

นอกเหนือจากการประสานความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้านสื่อสารมวลชนและจริยธรรมต่างๆในภูมิภาคแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คาดหวังได้จากการทำงานของเครือข่ายสภาการสื่อมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการทำงานร่วมกันกับผู้สื่อข่าวที่อยู่ในประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่ยังคงไม่มีสภาการสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ เครือข่ายสภาการสื่อมวลชนสามารถช่วยประเทศต่างๆเหล่านั้นในการจัดตั้งโดยการสนับสนุนอย่างสำคัญต่อรัฐบาลรวมทั้งแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่พวกเขามีอยู่แล้วในประเทศของตน

ในแง่ของการปกป้องนักข่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานกับหัวข้อเปราะบาง เช่น การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมืองแร่และการค้าสัตว์ป่า เครือข่ายสภาการสื่อมวลชนสามารถใช้ความพยายามร่วมกันในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหานี้โดยเน้นว่าแทนที่จะมองว่านักข่าวสิ่งแวดล้อมเป็นภัยคุกคาม พวกเขาควรถูกมองว่าเป็นพันธมิตรที่มีค่าในการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนและยังมั่นใจว่ามีความรับผิดชอบที่ดีขึ้นในการจัดโครงการพัฒนาทั้งโดยรัฐและภาคเอกชน ผู้สื่อข่าวจะสามารถได้รับความคุ้มครองที่ดีขึ้นหากรัฐบาลเหล่านั้นให้ความสำคัญกับภัยคุกคามที่ผู้สื่อข่าวต้องเผชิญและต้องรับมือกับการถูกทำร้ายร่างกายเพียงเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขาในฐานะผู้สื่อข่าว นอกจากนี้ยังสามารถช่วยได้หากรัฐบาลไม่พยายามใช้กฎหมายที่รุนแรงเพื่อควบคุมผู้สื่อข่าว ดังนั้นรัฐบาลในภูมิภาคควรดำเนินการอย่างเพียงพอเพื่อให้แน่ใจว่ามีการปกป้องนักข่าวสิ่งแวดล้อมและช่วยพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่โดยการให้พื้นที่ทำงานอย่างปลอดภัย

กิตติกรรมประกาศ

ผู้เขียนขอขอบคุณ นายราเจช เดเนียล และ ผช.ดร.คาร์ล มิดเดิลตัน สำหรับความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์และบทบรรณาธิการของบทความชิ้นนี้

—————

*นักวิจัยภายใต้ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการเมืองทรัพยากรเพื่อการพัฒนาสังคม, ศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[i] See also: Hostile Climate For Environmental Journalist (RSF, 2015), 2020 World Press Freedom Index: “Entering A Decisive Decade For Journalism, Exacerbated By Coronavirus” (RSF, 2020), A Leaderless Struggle For Democracy (Freedom House, 2020).

[ii] Juliette Garside and Jonathan Watts, 'Environment Reporters Facing Harassment And Murder, Study Finds' (the Guardian, 2019).

[iii] Reporters Without Borders, 'Hostile Climate For Environmental Journalist' (2015).

[iv] Alliance Of Independent Press Councils Of Europe (AIPCE), ‘About' (Presscouncils.eu, 2015).

[v] 'Role Of A Press Council In Promoting Responsible Journalism' (Unesco.org, 2013).

[vi] Southeast Asian Press Councils Network, 'Bangkok Declaration' (2018).

[vii] '2020 World Press Freedom Index: “Entering A Decisive Decade For Journalism, Exacerbated By Coronavirus”' (RSF, 2020).

[viii] 'A Leaderless Struggle For Democracy' (Freedom House, 2020).

[ix]Charter of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN Charter)’ (asean.org, 2007).

[x] '2020 World Press Freedom Index | Reporters Without Borders' (RSF, 2020).

[xi] 'Countries And Territories' (Freedom House, 2020).

[xii]Defending The Philippines' (Global Witness, 2019).

[xiii] 'The Murder Of Environmental Protection Advocates Must Outrage Us All' (The Manila Times, 2017).

[xiv] The Aktionsbündnis Menschenrechte – Philippinen, 'Human Rights In The Philippines Under Duterte' (2019).

[xv] 'Cambodian Journalist Found Dead In His Own Car' (Committee to Protect Journalists, 2012).

[xvi]  ‘A Bad Year For Journalism' (The Cambodia Daily, 2018).

[xvii] Kyaw Ko Ko, 'Mandalay Journalist Threatened After Reporting On Illegal Logging' (The Myanmar Times, 2016).

[xviii] Maung Zaw, 'Police Suspect Murder After Eleven Media Reporter Found Dead' (The Myanmar Times, 2016).

[xix] Kyaw Ko Ko, 'Mandalay Journalist Threatened After Reporting On Illegal Logging' (The Myanmar Times, 2016).

[xx] 'Indonesian Journalists Critical Of Illegal Palm Plantation Found Dead' (EcoWatch, 2019).

[xxi] Basten Gokkon, 'Palm Owner Charged With Ordering Murder Of Two Journalists In Indonesia' (Mongabay Environmental News, 2019).

[xxii] 'Cambodian Activist Killed While Helping Journalists' (Committee to Protect Journalists, 2012).

[xxiii] 'Thailand: Dismiss Criminal-Defamation Charges Against Thai PBS And Journalists - Fortify Rights' (Fortify Rights, 2018).

[xxiv] 'Tung Kham Company Sued Youth Journalist And Thai PBS' (Freedom.ilaw.or.th).

[xxv] 'Thailand: Uphold Decision To Dismiss Criminal-Defamation Complaint Against Thai PBS And Journalists - Fortify Rights' (Fortify Rights, 2018).

[xxvi] Richard C. Paddock, 'American Journalist Is Arrested In Indonesia Over Visa Issue' (Nytimes.com, 2020).

[xxvii] Amy Gunia, 'Indonesia Arrests American Journalist Over Alleged Visa Issue' (Time, 2020).

[xxviii] CSDS Communications, 'EVENT [REPORT]: Policy Forum On Resource Politics And The Public Sphere In Southeast Asia: Deliberation, Accountability And Alternatives [Bangkok, 13 December 2018] — Center For Social Development Studies' (CSDS, 2018).

[xxix] 'Mekong Matters Journalism Network' (Earth Journalism Network).

[xxx]Environmental Journalists Net Stories In The Mekong | Internews' (Internews.org, 2017).

[xxxi] Alliance Of Independent Press Councils Of Europe' (Ethical Journalism Network).

[xxxii] 'European Press Councils Reaffirm Central Role Of Self-Regulation In Maintaining The Quality Of Journalism' (UNESCO, 2017).

[xxxiii] Southeast Asian Press Councils Network, 'Bangkok Declaration' (2018).

[xxxiv] 'Joint Statement : SEAPC-Net Solidarity In Combating The Pandemic Coronavirus (COVID-19)' (Presscouncil.or.th, 2020).

[xxxv]ปธ. สภาการสื่อมวลชนฯ ประชุมสามัญประจำปี SEAPC-Net’ (Presscouncil.or.th, 2020).

 

CRITICAL NATURE: Building Positive Peace from the Local Level Up in Northern Thailand

by Andrew Stone*

[Thai version available here]

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Figure 1. Mekong River

Figure 1. Mekong River

The Mekong River demarcates the Thai-Lao border for 97 km downstream from the Golden triangle of Myanmar, Lao and Thailand. Since the mid 1990’s riverside communities in Northern Thailand have created community-based conservation zones and social movements. They were responding to both already occurring as well as potential ecological, livelihood and socio-cultural impacts associated with various river development projects. These included plans for rapids blasting and large hydropower dams.

The politics of the Mekong River are well known both to Mekong scholars as well as the wider public. In this article I make an analysis applying the Positive Peace Index framework to offer new insights on the drivers of community responses to development and the positive and negative results of those actions.

Beyond business-as-usual policy formulation

Governments typically apply economic theory to formulate their development policy. Yet they often struggle to fully value and incorporate the interests and needs of local people in decisions that affect them. Human interdependence with the rest of the natural world is also notoriously difficult for policy to capture. It is increasingly recognized that water resource management and water conflict transformation must include more than water quantity, quality and allocation. For example, a water-energy-food nexus[i] approach has been considered in policy and planning for at least a decade. Meanwhile the 2005 Millennium Ecosystem Assessment[ii] on wetlands and water states that a whole system, cross-sectoral or ecosystem-based approach is more likely to produce sustainable results in line with the UN Sustainable Development Goals (UNSDGs) and the Millennium Development Goals (MDGs). Consideration of systemic drivers of change should include:

  1. production subsidies

  2. climate change

  3. nutrient loading

  4. market failures

  5. lack of stakeholder participation

  6. unsustainable agriculture intensification

  7. lack of transparent and accountable government and private-sector decision-making

Other research finds that pursuing the UNSDG’s requires understanding social-ecological systems[iii]. Understanding communities’ relationships with water, and the drivers and impacts of CBO actions requires a broad systems lens that values wild capture fisheries and other livelihood practices linked to historic seasonal flood pulse of rivers. This lens would also include cultural and spiritual traditions that reinforce seasonal ‘management practices,’ and that bind communities socially and to a place. It would assess resilience of local institutions in addition to state capacity. 

Positive Peace Index

The Positive Peace Index[iv] (PPI) is a complementary lens to those above. It was created and is curated by The Institute for Economics and Peace. The index can help identify the drivers and outcomes of community-based policy efforts.

Positive Peace is more than lack of war. It is, “the attitudes, institutions and structures that create and sustain peaceful societies.” The PPI “shifts the focus … to the positive aspects that create the conditions for a society to flourish.”[v]  A country may risk instability and violence due to corruption, inequality, abuse of human rights and other reasons. These conditions would result in a poor PPI score. A good positive peace score correlates with resilience to economic and natural disasters, better environmental outcomes, and higher scores for wellbeing and development goals.

The Institute for Economics and Peace compiles current data from over 24,700 indices, data sets and surveys to create and update the PPI. The eight PPI ‘pillars’ are summarized in Table 1. In the analysis to follow, a “(+P1)” note indicates an example of strength in pillar 1 (well-functioning government), while a “(-P1)” means that actors interviewed perceived a deficit in pillar 1.

CSDS Table1.jpg

Mekong country PPI scores, as determined by the Institute for Economics and Peace, are listed in Table 2. In the index scores are between 1 and 5. Higher scores correlate with a higher risk of violence, and a lower score indicates the opposite. In terms of global ranking the Mekong States ranked between 66 and 131 of 163 countries.

CSDS Table2.jpg

The PPI is not comprehensive. But one of its values is that it is cross-sectoral. Another is that it is grounded in mainstream economics and evidence-based data. This is consistent with approaches familiar to governments and makes the index easy to integrate into policy making. Although it is a state-level index it reflects aspects of day-to-day realities in communities. Importantly, it also overtly strives to provide a theory of social change[vi].

Community-based actions tend to both leverage strength in pillars and work towards improvement. Freedom to petition, protest or negotiate with government could reflect strength in pillars (+P1,P4,P6,P7). Communities may employ those strengths to address their perceived need for information (-P6), equitable livelihoods (-P3), meaningful participation (-P1), justice (-P4), or reduction of corruption (-P8).

Case study 1: Mekong River Rapids Blasting

CSDS FIG2.jpg

The Agreement on Commercial Navigation on the Lancang-Mekong River was signed in 2000 between the governments of China, Myanmar, Lao, and Thailand[vii]. China planned major channel modifications for large barge passage including blasting, dredging, and channel modifications along the mainstem Mekong. This included the 97 km northern Thai-Lao border.

That same year Thailand’s Ministry of Social Development and Human Security created the Community Organization Development Institute (CODI). It offered greater small grant access to Community-based Organizations (CBOs) including those active in Northern Thailand[viii]. This is an example of a government policy supporting several PPI pillars (+P1,P4,P7).

For most of the past two decades local people living next to the river reported their exclusion from decision-making (-P1) and a lack of navigation project details in the public domain (-P6). Upstream dams in China had already impacted seasonal flow[ix], riverbank gardens, and fish ecology. People feared river-dependent traditional livelihood practices would be further impacted (-P3,P4). Possible economic competition from Chinese barges and investment (-P2) and increased access for Chinese navy ships were also concerns (-P5).[x]

Throughout this period Thai CBO’s developed projects that focused on the rights of people and their interdependence with natural systems. In 2017 they also organized against the proposed Pak Beng Mekong hydropower dam that had been proposed in Northern Laos. Aspects of the dam plan overlapped with the navigation proposal and directly affected many of the same communities. A meeting was proposed between the Chinese state-owned dam engineering company, Lao and Thai government representatives, and local village leaders. CBO’s drew on their social and political power (+P7) to insist on meeting as peers in an open-air space on the shore of the Mekong River. This process reinforced good government (+P1) and local rights (+P4).

At the meeting regional academic experts contributed data and opinions, and local and international media covered local people’s perspective (+P6). Local officials and security sector workers (military and police) also witnessed the meeting. While this meeting was a remarkable regional first, this type of multi-sector, multiple actor engagement that sought to redress power asymmetries and amplify the local perspective was typical of the overarching strategy of the CBOs’ 20-year campaign. For example two prior peace walks along the 97 km Thai-Lao border also linked local communities, officials, spiritual leaders, and numerous ethnic and other stakeholder groups from the same geographic area.[xi]

In January 2019, after decades of pressure, the Thailand government held public meetings about the navigation project at the three affected District’s offices (+P1,P6).[xii] Public opinion was strongly against the project and was publicized internationally.[xiii] In early 2020 Thailand cancelled the blasting and dredging project though the broader navigation agreement remained in place.[xiv] It seems likely that the decision was based at least in part on internal government concerns and therefore public opposition had been appropriate and beneficial (+P1,P7).[xv]

Case study 2: Local conservation initiatives

The Ing River is a major tributary to the Mekong in Northern Thailand that flows through Phayao and Chiang Rai Provinces. Several local conservation zones and the Ing River People’s Council were established by CBO’s in the Ing River basin during the past two decades to encourage local participation in sustainable allocation and conservation along the Ing River(+P7).[xvi] Watershed-level issues, such as irrigation and land use practices, were identified as contributing to negative impacts for farmers and fisherpeople including the seasonal dewatering of the Ing River (-P3).

During the same period Mekong River trade with China, a new 2013 road bridge to Laos, and other factors led the Thai government to designate a Special Economic Zone (SEZ) in the three Mekong border districts of northern Chiang Rai Province (P2). Typically SEZ’s include a fast-track review and waive regulations while also offering other investment incentives. Simultaneously communities in Northern Thailand felt pressure to intensify their agriculture and find additional income for a range of reasons linked to national agriculture policies, population growth, and degradation of fisheries (-P1,P3).[xvii]

National policy protected steep hillsides (+P1). Intensive farming practices already occupied lowland areas. As a result policymakers focused on traditional community forests and seasonal wetlands as the only remaning ‘open’ spaces for economic development (P2). In 2015 an industrial park was proposed in a seasonal wetland forest in the Ing River catchment near Boon Rueang. This became a high profile case. The area had been a source of fish, mushrooms, and other wild capture and commons-based livelihoods (+P3). Though the site had also already been under local development pressure for wood extraction and conversion to farmland the proposal for an industrial park was met with local skepticism. Villagers questioned the potential economic benefit (P2) and equity in distributing it (P3). After significant opposition to the SEZ plan, a community forest conservation agreement was formalized instead. In 2020 the Boon Rueang forested seasonal wetland received a UNDP Equator Prize recognizing the value of this achievement. And the surrounding communities considered seeking status for Boon Rueang conservation zone as a wetland of global significance under the international Ramsar convention.[xviii]  

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Photo (c) Andrew Stone, 2021.

Conclusion: Local contributions to positive peace

Since the mid-1990s Thailand has experienced several major financial crisis, two military coups, two constitutional changes, and other factors that contributed to political and social instability and conflict. It may seem paradoxical that actively dissenting groups like the CBOs in Northern Thailand contributed to positive peace - especially in a context where there was a real risk of violent conflict in some cases. Yet through the analysis above I conclude that they have levered strengths in PPI pillars to create more political space and capacity for local participation, and even received some funding support from the state via CODI. This might appear to contradict the imperatives of top-down policy makers. However the combination of these actions sustained over decades likely countered destabilization by supporting local conditions, national policy, and local relationships with national government that correlate with a good PPI score.

These CBO’s have also pushed for new ways of thinking about policy. They highlight interdependent relationships between people and nature in policy discussions. And they propose approaches such as including the Rights of Nature in policy.[xix] Academic and organization reports and conferences add further legitimacy to those concepts. As the scholar Joanne Barker observes, water “teaches us to think about knowledge in continuous movement,” and, “brings our attention to the connectivity and interactions between water, land, and air, between humans and other-than-humans.” [xx]

Reframing policy and drawing on a systems perspective is important. Establishing rights for nature and democratization of management in law and culture requires sustained effort. If policy is to create the conditions for a society to flourish [xxi] then the approach to policy must also facilitate understanding of and address assumptions about 1) power, i.e. respect for the human; and 2) the nature of relationships, i.e. respect for ‘the natural’ and humans interdependence with the rest of the natural world. Informed and empowered CBO’s have raised these points and others that relate to the water-energy-food nexus[xxii] and the Millennium Ecosystem Assessment recommendations.[xxiii]

Applying the PPI as a framework for policy analysis results in acknowledgement of the value of CBO’s significant contributions to a stable, equitable society with high human capacity and positive relationships. Those CBO actions might otherwise be perceived by policy-makers as obstructions to attaining planning priorities determined at the national level. The PPI does have some gaps that require further evolution as a tool or concurrent application of additional analyses. Subjective valuation, non-cash economy and spiritual values do not appear overtly in the PPI framework. And PPI terms like ‘human capital’ do not fully reflect local people’s understanding of human capacity and relationships. Yet the PPI can help clarify for policy makers what drives community actions. And its application illuminates and acknowledges the important role played by CBOs in building Positive Peace from the local level.

——-
*Andrew Stone is a systems ecologist, educator and Rotary Peace Fellow. Based in the Columbia River basin in the USA, he has spent 3 months annually since 2011 in lower Mekong countries supporting community-based organization’s and networks with a focus on water and development.

[i] Simpson, G. and G.P.W. Jewitt (2019, February). The Development of the Water-Energy-Food Nexus as a Framework for Achieving Resource Security: A Review. Front. Environ. Sci., (8). https://doi.org/10.3389/fenvs.2019.00008

[ii] Millennium Ecosystem Assessment (2005). Ecosystems And Human Well-Being: Wetlands And Water Synthesis. World Resources Institute, Washington, DC. https://www.millenniumassessment.org/documents/document.358.aspx.pdf  (Accessed 20 November, 2020.)

[iii] Masterson, V. A., R. C. Stedman, J. Enqvist, M. Tengö, M. Giusti, D. Wahl, and U. Svedin. (2017). The contribution of sense of place to social-ecological systems research: a review and research agenda. Ecology and Society 22(1):49. https://doi.org/10.5751/ES-08872-220149

[iv] Institute for Economics & Peace (2019). Positive Peace Report 2019: Analysing the Factors that Sustain Peace. IEP, Sydney. https://www.visionofhumanity.org/wp-content/uploads/2020/10/PPR-2019-web.pdf (Accessed 16 February, 2020.)

[v] Ibid, 10.

[vi] Ibid, 10.

[vii] Agreement on Commercial Navigation on Lancang-Mekong River among the Governments of the People’s Republic of China, the Lao People’s Democratic Republic, the Union of Myanmar and the Kingdom of Thailand (April 2000). https://www.jcccn.org/images/rule/Agreement.pdf (Accessed 16 February, 2020.)

[viii] Community Organizations Development Institute (date unknown). Finding new ways for government to support communities at scale. https://en.codi.or.th/about/history-of-codi/ (Accessed 20 November, 2020.)

[ix] Lu, X.X. and R. Y. Siew (2006). Water discharge and sediment flux changes over the past decades in the Lower Mekong River. Hydrol. Earth Syst. Sci., 10, 181–195, 2006. Retrieved from https://www.hydrol-earth-syst-sci.net/10/181/2006/hess-10-181-2006.pdf (Accessed 23 November, 2020.)

[x] AFP (2020). The 97km that frustrate China's mastery of the Mekong. Bangkok Post. https://www.bangkokpost.com/world/1832839/the-97kms-that-frustrate-chinas-mastery-of-the-mekong (Accessed 16 February, 2020.)

[xi] Author interviews with Noparat Lamun (local organizer), Dr. Apisom Intralawan (MaeFahLuang University), and Dr. Carl Middleton (Chulalongkorn University) in November 2020 supplemented by personal field notes and prior interviews from 2009 to 2020.

[xii] Deetes, P. (2019, January 4). Sudden Public Hearing on Mekong “Rapids-Blasting” Project Catches Community Group by Surprise. CTN News. https://www.chiangraitimes.com/featured/sudden-public-hearing-on-mekong-rapids-blasting-project-catches-community-group-by-surprise/ (Accessed 16 February, 2021.)

[xiii] Stone, A. (2019, January 28). Chinese company consults locals over Mekong blasting. China Dialogue. https://www.chinadialogue.net/article/show/single/en/11040-Chinese-company-consults-locals-over-Mekong-blasting (Accessed 20 November, 2020.)

[xiv] Thepgumpanat, P. (2020). Thailand scraps China-led project to blast open Mekong River. Reuters. https://www.reuters.com/article/us-thailand-china/thailand-scraps-china-led-project-to-blast-open-mekong-river-idUSKBN1ZZ1T6 (Accessed 16 February, 2020.)

[xv] Author interviews.

[xvi] Wajjwalku, S. (2019). Chapter 6 Civil Society and Water Governance in Northern Thailand: Local NGOs and Management of Mekong’s Tributaries in Chiang Rai. In K. Otsuka (Ed.), Interactive Approaches to Water Governance in Asia (1st ed., pp. 123-154). Springer Nature Singapore Pte Ltd. https://doi.org/10.1007/978-981-13-2399-7.

[xvii] Author interviews.

[xviii] RECOFTC (2020, June). Boon Rueang Wetland Forest Conservation Group of Thailand wins global environmental award: The Equator Prize. https://www.recoftc.org/press-releases/boon-rueang-wetland-forest-conservation-group-thailand-wins-global-environmental (Accessed 26 November, 2020.)

[xix] Author interviews.

[xx] Barker, J. (2019). Confluence: Water as an Analytic of Indigenous Feminisms. American Indian Culture and Research Journal, 43:3. https://doi.org/10.17953/aicrj.43.3.barker

[xxi] Institute for Economics & Peace (2019).

[xxii] Simpson (2019).

[xxiii] Millennium Ecosystem Assessment (2005).

Figures, Tables, Photos

Figure 1: Product of the Transboundary Freshwater Dispute Database, College of Earth, Ocean,   and Atmospheric Sciences, Oregon State University. Additional information about the            TFDD can be found at: http://transboundarywaters.science.oregonstate.edu. Retrieved from          https://transboundarywaters.science.oregonstate.edu/database-and-research/galleries/asia-   gallery (Accessed 16 February, 2021.)

Figure 2: Basemap data from Esri, DigitalGlobe, GeoEye, i-cubed, USDA FSA, USGS, AEX,     Getmapping, Aerogrid, IGN, IGP, swisstopo, and the GIS User Community.

Tables 1 - 2: Institute for Economics & Peace, Positive Peace Report 2019.

Photos: Copyright 2021, Andrew Stone.

 

ธรรมชาติเชิงวิพากษ์: โควิด – 19 เขตพรมแดนสุขภาพและความปราศจากมลทินของชาติไทย

เขียนโดย อาจารย์ ดร.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์*

(หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 9 ตุลาคม 2563 ก่อนที่จะมีการระบาดระลอกใหม่)

[English version available here]

ภาพแสดงการตรวจวัดอุณหภูมิที่ชายแดนไทย-เมียนมา (เครดิต) THANT ZIN AUNG ชาวเมียนมา ที่ทำงานในประเทศไทย

ภาพแสดงการตรวจวัดอุณหภูมิที่ชายแดนไทย-เมียนมา (เครดิต) THANT ZIN AUNG ชาวเมียนมา ที่ทำงานในประเทศไทย

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกถัดจากจีนที่มีบันทึกการติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคนี้ในระยะเวลาไม่นาน เห็นได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดที่พบอยู่ที่ประมาณ ​100-150 รายต่อวันในเดือนมีนาคม 2563 แต่ก็ลดลงเหลือศูนย์​ภายในเดือนพฤษภาคม และยังคงอยู่ที่ตัวเลขเดิมตั้งแต่นั้นมา โดยมีผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,500 รายและเสียชีวิต 59 รายนับตั้งแต่เริ่มการระบาด หลังจากนั้นสหภาพยุโรป (The European Union: EU) จึงประกาศให้ประเทศไทยไม่เป็นเขตอันตรายของการแพร่ระบาดอีกต่อไป ทำให้น่าประหลาดใจว่ารัฐไทยสามารถควบคุมหรือจัดการกับการแพร่ระบาดนี้ได้อย่างไร

บทความนี้ศึกษานโยบายเฉพาะกิจและกฎระเบียบที่รัฐบาลไทยใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ จากการศึกษาวิจัยผ่านเอกสารและเก็บข้อมูลภาคสนามค้นพบว่า เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส (ทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ) รัฐบาลไทยได้สร้าง 'พรมแดนสุขภาพ' เพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของผู้คน รวมทั้งจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลคือ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการผ่าน 'พรมแดนสุขภาพ' นี้ ได้แก่ ใบรับรอง Fit-to-Fly แบบฟอร์ม TM.08 หนังสือรับรองการตรวจสุขภาพที่ระบุผลการทดสอบโควิด-19 เป็นลบ และการกักกันตัวที่ดำเนินการโดยรัฐ​ 14 วัน สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ออกกฎระเบียบสำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอันประกอบด้วย การปิดเมืองและห้ามการเคลื่อนย้ายระหว่างพื้นที่โดยต้องมีหนังสือรับรองการตรวจสุขภาพและการรับได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในการเดินทางข้ามจังหวัด 

น่าแปลกที่ในช่วงต้นของวิกฤติดังกล่าว รัฐบาลทั่วโลกเกือบทั้งหมดได้เรียกพลเมืองของตนกลับคืนสู่มาตุภูมิ แต่รัฐบาลไทยกลับปิดกั้นพลเมืองของตนไม่ให้กลับบ้านซึ่งทำให้นักเรียนไทยในต่างแดนจำนวนมากต้องติดอยู่ในประเทศระหว่างทางเป็นเวลาหลายวัน ต่อมารัฐบาลไทยจึงได้ประกาศ ‘เขตพรมแดนสุขภาพ’ และกำหนดให้คนไทยทุกคนต้องตรวจสุขภาพให้เรียบร้อยก่อนเดินทางกลับ (สำหรับคนที่ไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยก็ไม่สามารถเดินทางกลับโดยเครื่องบินได้)

แทนที่จะมองและปฏิบัติต่อคนไทยในฐานะพลเมืองที่รัฐต้องปกป้อง แต่รัฐบาลไทยกลับแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้ติดเชื้อและผู้ที่มีร่างกายบริสุทธิ์ ผู้เขียนได้ออกแบบการวิเคราะห์ตามแนวคิดของดักลาสเรื่องความบริสุทธิ์และอันตราย (Douglas, 1966) การถือกำเนิดขึ้นของเขตชายแดนสุขภาพและกฎระเบียบไม่ใช่เพียงควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นความกังวลสูงสุดของรัฐบาลไทย คือ การทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์รายและทำให้มันคงอยู่เช่นนั้นดังเช่นการรักษารัฐให้ปราศจากมลทิน ยิ่งไปกว่านั้นแรงงานไทยในต่างแดนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและแรงงานข้ามชาติถูกมองว่าเป็น ‘ร่างกายที่ปนเปื้อน’ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและกลายมาเป็นเป้าหมายของการควบคุมและชำระให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง พวกเขาต้องอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐตามที่รัฐจัดหาให้โดยห้ามออกจากโรงแรมที่พักเป็นเวลา 14 วัน ก่อนจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ สิ่งนี้เป็นเหมือนพิธีการเปลี่ยนผ่านที่ร่างกายต้องผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้รับการยอมรับกลับเข้ามาในสังคมไทยคล้ายกับแนวคิดเอานักโทษเข้าคุกโดยหวังจะเปลี่ยนคนเลวให้กลายเป็นคนดีได้ แต่ในช่วงที่ถูกกักกันคนเหล่านี้กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่ในฐานะประชาชนแต่คล้ายคลึงกับนักโทษเสียมากกว่า

เขตพรมแดนสุขภาพ: จุดตรวจวัดอุณหภูมิในเขตชายแดนแม่สอด (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

เขตพรมแดนสุขภาพ: จุดตรวจวัดอุณหภูมิในเขตชายแดนแม่สอด (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

เขตพรมแดนสุขภาพ

การตอบสนองของรัฐบาลไทยที่มีต่อโควิด – 19 มีความคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รัฐ ชายแดนและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในช่วงวิกฤติที่คาบเกี่ยวกับความเป็นความตายของผู้คน ซึ่งนักวิชาการวิเคราะห์ว่าเป็น “รัฐยกเว้น” (Agamben, 2005) ในช่วงวิกฤติฉุกเฉินของโควิด – 19 ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่า ‘สุขภาพ’ หรือ ‘ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ’ ซึ่งนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิและความเป็นส่วนตัวของพลเมืองได้ (Agamben, 2020)  ในสภาวะยกเว้นเช่นนี้ อธิปไตย (รัฐ) มีอำนาจตัดสินใจว่าชีวิตของบุคคลใดควรค่าแก่การช่วยเอาไว้และชีวิตใดที่ไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม นโยบายการรับมือโควิด – 19 ที่มีผลต่อแรงงานไทยในต่างแดนและผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ การทำให้ขอบเขตของ "พลเมือง" และ "อื่นๆ" พร่าเลือนในนามของสุขภาพและความมั่นคงทางชีวภาพ ทุกคนได้รับการปฏิบัติด้วยในฐานะผู้ที่อาจจะเป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหรือไม่ใช่ ก็ล้วนแต่เป็นเพียงร่างกายที่อยู่ภายใต้สภาวะยกเว้นที่จำเป็นต้องผ่านด่านพรมแดนสุขภาพที่ตั้งขึ้นมาใหม่ (นอกเหนือจากพรมแดนทางภูมิศาสตร์และทางการเมืองที่มีอยู่แล้ว) เพื่อคัดกรองสุขภาพร่างกายก่อนเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

ก่อนแพร่การระบาดของโควิด – 19 การเดินทางระหว่างประเทศจำเป็นต้องมีหนังสือเดินทางและวีซ่าที่ถูกต้องเพื่อข้ามพรมแดน บางประเทศขอให้คุณกรอกแบบฟอร์มเพื่อแจ้งว่าไม่ได้นำสินค้าหรืออาหารต้องห้ามเข้ามาในดินแดน แต่ในช่วงที่มีการระบาด รัฐไทยกำหนดให้คุณต้องชี้แจงเรื่องสุขภาพผ่านระบบ Fit to Fly แสดงผลการตรวจโรคโควิด – 19 ภายใน 72 ชั่วโมงล่วงหน้าและแบบฟอร์ม TM.08 หลังจากนั้นจะมีการบังคับกักกันตัว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เปรียบเสมือนการข้ามพรมแดนสองครั้งโดยที่การข้ามพรมแดนสุขภาพมีความเข้มงวดยิ่งกว่าการข้ามพรมแดนโดยปกติ

ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พรมแดน (แผ่นดิน) มักมีรูพรุนและซึมผ่านได้ (van Schendel and de Maaker, 2014) โควิด – 19 ทำให้รัฐบาลไทยต้องปิดจุดตรวจคนเข้าเมืองหรือจุดอพยพทั้งหมดและผนึกพรมแดนของประเทศซึ่งมีความยาวประมาณ​ 5,656 กิโลเมตร ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การปิดผนึกพรมแดนเป็นข้อกำหนดที่จำเป็นในการประกาศภาวะฉุกเฉินด้วยเหตุผลด้านสุขภาพโดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์

เอกสารประกอบเพื่อใช้ในการผ่านเข้าเขตพรมแดนสุขภาพของคนไทยประกอบด้วย

  • ใบรับรองการเดินทาง Fit to Fly หรือ Fit to Travel ซึ่งออกใบรับรองโดยแพทย์

  • ผลการตรวจสุขภาพที่ระบุผลทดสอบโควิด – 19 เป็นลบ

  • แบบฟอร์ม TM.08 แบบคำขออนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

  • แบบฟอร์มการแจ้งรับบริการเพื่อการกักกันโดยรัฐ จำนวน 14 วัน

ในการเดินทางกลับประเทศไทย ผู้เดินทางชาวไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศจะต้องติดต่อกับสถานทูตไทยในประเทศที่ตนพำนักอยู่ พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและกรอกรายละเอียดลงในเอกสารทั้งหมด ทุกคนจะต้องดำเนินการต่างๆ ผ่านสถานทูตไทยในพื้นที่เท่านั้น ได้แก่ การจัดการเที่ยวบิน (ส่งตัวกลับ) ซึ่งไม่สามารถจองเที่ยวบินเองได้ เมื่อกลับมาถึงคุณจะถูกส่งตัวไปยังโรงแรมที่จัดเตรียมไว้ซึ่งคุณจะต้องอยู่ที่นั่นต่อไปอีก 14 วัน อย่างไรก็ตามแรงงานไทยที่อาศัยอยู่ในต่างแดนไม่ได้มีลักษณะเดียวกันทุกคน พวกเขาอาจจะเป็นนักเรียน ข้าราชการพลเรือน นักท่องเที่ยว หุ้นส่วนชาวต่างชาติ แรงงานข้ามชาติ (ไม่มีเอกสาร) ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับเอกสารเหล่านี้ เนื่องจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก การขาดเอกสารทางกฎหมายหรือมีปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการดำเนินการ

แรงงานไทยที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซียชี้แจงว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะได้รับการรับรอง Fit-to-Travel (สำหรับการเดินทางทางบก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่สามารถพูดภาษามาเลย์หรือภาษาอังกฤษได้ บางคนระบุว่าเพื่อที่จะได้รับเอกสารเหล่านี้พวกเขาจำเป็นต้องเดินทางจากที่ทำงานซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยไปยังกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย ซึ่งทำให้เสียทั้งเงินทองและเวลามาก หลายคนตัดสินใจข้ามพรมแดนกลับประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้นชายแดนได้ถูกปิดผนึกและรัฐบาลไทยอนุญาตให้ส่งกลับได้เพียง 100 คนต่อวัน บางรายต้องรอเวลาเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในเขตพรมแดนสุขภาพ ความเป็นพลเมืองแทบจะไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องของความปลอดภัยทางชีวภาพและจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์เท่านั้น ฟาสซินเน้นย้ำว่านี่คือ “หลักการของพลังชีวภาพในการทำให้ชีวิตกลายเป็นเรื่องของการเลือกว่าใครที่ควรจะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตแบบไหนและยาวนานแค่ไหน” นอกจากนี้ ชีวิตภายใต้อำนาจทางชีวภาพยังไม่เท่าเทียมกัน (Fassin,2009: 53) กรณีของแรงงานข้ามชาติไทยจากมาเลเซียแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภายใต้เขตพรมแดนสุขภาพนี้การกลับมาของพวกเขาถูกยืดระยะเวลาออกไปโดยรัฐไทย ซึ่งชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่สำคัญนักในขณะที่ร่างกายอยู่ภายใต้การบงการผ่านการเรียกร้องให้เสียสละเพื่อควบคุมไวรัสภายในประเทศ

ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของร่างกาย (ชาติ) ไทย

นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน กล่าวสรุปสถานการณ์โควิด – 19 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (CCSA) ทำเนียบรัฐบาลแห่งประเทศไทย วันที่ 2 เมษายน 2563 (เครดิต) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน กล่าวสรุปสถานการณ์โควิด – 19 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (CCSA) ทำเนียบรัฐบาลแห่งประเทศไทย วันที่ 2 เมษายน 2563 (เครดิต) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

“ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม จำนวนผู้ป่วยโควิด – 19 รายใหม่ที่รายงานทุกวันเป็นตัวเลขเดียวยกเว้น 18 รายที่พบในกลุ่มผู้อพยพที่ถูกกักกันในจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม”

กล่าวโดย ดร.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน [1]

ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประเทศไทยปลอดโควิด – 19 เป็นครั้งแรก[2] และร่างกายของชาติไทยได้รับการชำระล้างหรือทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ข้อยกเว้นในคำพูดบ่งบอกว่า แรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับมาจากมาเลเซียและอยู่ในเขตกักกันของรัฐ​ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของ 'ร่างกายของชาติไทย' และไม่นับว่าเป็นคนไทยเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้อพยพซึ่งมีร่างกายเป็นที่ต้องสงสัยและมีโอกาสที่จะติดเชื้อ ซึ่งสิ่งนี้อาจจะทำให้ร่างกายที่บริสุทธิ์ของชาติไทยต้องแปดเปื้อน

ดร.ทวีศิลป์ กล่าวเพิ่มเติมว่า

"เราสามารถผ่อนคลายได้แต่ประมาทไม่ได้ ... โปรดปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติใหม่ๆ ในที่สุดเราอาจเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่สามารถยุติความยากลำบากที่เกิดจากโรคนี้ได้"

คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐไทยต้องการคือ การได้รับความเชื่อถือและยอมรับจากประชาคมโลกว่าสามารถจัดการกับโรคนี้ได้และเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดโควิด แต่เพื่อให้ประเทศปราศจากจากโควิด – 19 (ซึ่งที่จริงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น) จำเป็นต้องเสียสละหลายสิ่ง นอกเหนือจากการเสียสละของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างหนักแล้ว คือการกำหนดมาตรการล็อกดาวน์บังคับให้ผู้คนต้องอยู่บ้านซึ่งนำไปสู่การสูญเสียงานในภาคส่วนที่คนต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ผู้คนไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของตนเองได้และสิ้นหวังเพราะเงินออมเหลือน้อยลงทุกทีอีกทั้งมีหนี้สินต้องจ่าย กรมสุขภาพจิตรายงานว่า มีคนไทยฆ่าตัวตายในช่วงต้นปี จำนวน 2551 คน อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ผลการศึกษาวิจัยจากทีมนักวิชาการไทยเปิดเผยว่ามี 38 กรณีที่มีผู้ให้สัมภาษณ์ว่าพยายามฆ่าตัวตายจากสาเหตุการปิดประเทศ การปิดกิจการ การตกงาน และการเลิกจ้าง และใน 38 รายนี้ มี 28 ราย ที่เสียชีวิต[3]

ความคิดเรื่อง "ร่างกายที่บริสุทธิ์" ของชาติยังส่งผลให้เกิดความเกลียดกลัวชาวต่างชาติและการเหยียดเชื้อชาติในกรณีของแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ แรงงานไทยเหล่านี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ผีน้อย’ เนื่องจากพวกเขาพำนักและทำงานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย และเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เดินทางกลับมายังประเทศไทย ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงกันอย่างดุเดือดในสังคมไทย เมื่อสื่อสังคมออนไลน์เปิดเผยให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติหญิงรายหนึ่งไม่ได้กักกันตนเองเมื่อเดินทางมาถึงบ้านเกิดใน จ.เชียงราย เธอได้แวะไปร้านอาหารและซื้อของ จากกรณีของเธอสังคมไทยเริ่มชี้เป้าและตำหนิว่าแรงงานข้ามชาติที่กลับมานั้นขาดความรับผิดชอบต่อสังคมไทย (และพวกเขายังขาดความรับผิดชอบที่ไปอยู่ในประเทศเกาหลีใต้แบบผิดกฎหมายจนส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยคนอื่นๆ อีกด้วย) และพวกเขาเป็นผู้แพร่กระจายเชื้อ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการปฏิบัติที่ค่อนข้างแย่จากรัฐบาลไทยก็ตาม แต่ในภายหลังปรากฏว่าผู้ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสครั้งใหญ่ในประเทศไทยไม่ได้มาจากคนกลุ่มนี้แต่กลับกลายเป็นกลุ่มคนชั้นกลางระดับสูงและคนที่มีชื่อเสียงของไทยที่เข้าไปชมการชกมวยในสนามมวยมากกว่า  

ยิ่งไปกว่านั้นความคิดเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องยังแทรกซึมลงไปในระดับจังหวัดและจิตใจของแต่ละบุคคล ตรัง เป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดที่ปลอดโควิด – 19 ตามรายงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อนของผู้เขียนซึ่งเป็นนักเรียนไทยในต่างแดนที่เดินทางกลับจากสหราชอาณาจักรก่อนที่รัฐบาลไทยจะประกาศปิดพรมแดนได้ทำการกักกันตนเองเป็นเวลา 14 วัน ภายในบ้านที่ จ.ตรัง ระหว่างที่รอเขาบอกผู้เขียนว่าเขากังวลว่าอาจจะติดเชื้อแล้วแพร่โรคนี้ไปยังพ่อแม่ของเขา แต่สิ่งที่ทำให้กังวลมากขึ้นอีกคือ เขาอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกในจังหวัดตรัง ชื่อของเขาจะถูกประกาศและสร้างความอับอาย เราไม่ต้องการเป็นตัวอันตรายที่จะนำความไม่บริสุทธิ์มาสู่แผ่นดิน ในทำนองเดียวกันสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมีแนวความคิดอย่างไรเมื่อต้องจัดการกับโควิด – 19 อันเชื่อมโยงกับ ‘ความบริสุทธิ์ของร่างกายชาติไทย’

จุดตรวจวัดอุณหภูมิชายแดนแม่สอด (ฝั่งไทย) (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

จุดตรวจวัดอุณหภูมิชายแดนแม่สอด (ฝั่งไทย) (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

ผู้ย้ายถิ่น ผู้เดินทางกลับ การเมืองร่างกายและสิทธิเสรีภาพ

ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนของโควิด – 19 ร่างกายของคนไทยในต่างแดนและแรงงานข้ามชาติ ถูกพิจารณาว่าเป็นอันตรายเหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติใด เป็นคนไทยหรือไม่ใช่ก็ตาม พวกเขาจะต้องถูกกักกันก่อนจึงจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะอยู่ในประเทศไทยแต่พวกเขาจะถูกกีดกันไม่ให้สามารถเข้าถึงสิทธิอย่างเต็มที่ในฐานะพลเมืองไทย โควิด – 19 ส่งผลกระทบต่อร่างกายของคนไทยและแรงงานข้ามชาติอื่นๆ ในรูปแบบที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันดังที่ผู้เขียนชี้แจงไว้ต่อไปนี้

 i. ร่างกายของผู้ต้องสงสัยและพิธีกรรมทางเดิน

ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ข้างต้น ผู้อพยพชาวไทยในต่างแดนจำเป็นต้องส่งเอกสารจำนวนมากก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อเดินทางมาถึงแล้วทุกคนจะต้องอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐเป็นระยะเวลา 14 วัน ร่างกายของพวกเขาถือว่าเป็นอันตรายเนื่องจากอาจมีเชื้อไวรัสดังกล่าว ดังนั้นจึงต้องอยู่ในที่ห่างไกลจากผู้คน สิ่งนี้เปรียบเสมือนพิธีกรรมที่พวกเขาอยู่ในสภาวะกำกวม (liminal stage) และจะได้รับการยอมรับกลับคืนสู่สังคมหลังจากที่ร่างกายของพวกเขาได้รับการยืนยันว่าปราศจากไวรัส ยิ่งไปกว่านั้น กฎระเบียบดังกล่าวยังทำให้เกิดเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพลเมืองและการเป็นผู้อพยพ (อื่นๆ) โดยลดสถานะให้เป็นผู้ต้องสงสัย

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โควิด – 19 ได้ยกเลิกสิทธิของพลเมืองชั่วคราวที่จะมีชีวิตที่เปลือยเปล่า (Bare Life) (Agamben, 2005) การติดป้ายลงไปว่ามาจากต่างประเทศคือร่างกายที่อันตราย ร่างกายที่เปลือยเปล่าไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนย้ายถิ่นกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนทั้งสังคม นี่คือวิธีการดำเนินการของรัฐยกเว้น

อย่างไรก็ตาม ร่างกายของแรงงานข้ามชาติชาวพม่าซึ่งก็ถือว่าเป็นอันตรายยังคงมีพลังอำนาจบางอย่างอยู่ จากงานของดักลาส (1966) การที่ร่างกายอยู่สภาวะกำกวม เช่น ทารกในครรภ์ของผู้หญิงนั้นมีอำนาจแม้ว่าจะยังไม่เป็นมนุษย์ก็เพราะอาจทำให้ผู้ที่อุ้มท้องเสียชีวิตได้ กรณีร่างกายของผู้ย้ายถิ่นพวกเขาอาจมีหรือไม่มีไวรัสอยู่ จึงทำให้สถานะของพวกเขาไม่ชัดเจน ดั้งนั้นร่างกายของพวกเขาจึงเป็นอันตรายต่อประเทศไทยเนื่องจากอาจแพร่เชื้อไวรัสไปสู่คนไทยในประเทศได้ ในประเทศสิงคโปร์ ชุมชนแรงงานข้ามชาติถูกลืมโดยรัฐบาลและส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของไวรัสในวงกว้าง สิ่งนี้สร้างความกังวลให้แก่รัฐบาลไทยเนื่องจากต้องการให้ประเทศไทยพ้นจากการระบาดระลอกสอง ดังนั้น ในขณะที่แรงงานข้ามชาติเป็นมลทินและกลายเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมแต่พวกเขาก็ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนไทยในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากพวกเขามีอันตราย (และอันตรายนี้เป็นอำนาจในตัว) ขณะเดียวกันแรงงานไทยในต่างแดนก็มีความรู้สึกว่าตนถูกลดทอนความเป็นพลเมืองเมื่อข้ามพรมแดนสุขภาพ โควิด – 19 และรัฐบาลไทยได้ทำให้พวกเขาผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ของความกำกวมซึ่งเป็นประสบการณ์เดียวกันกับที่แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านได้เผชิญ

 ii. ช่วงเวลาจำกัดสองเท่า

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม รัฐบาลไทยได้ประกาศล็อกดาวน์และปิดกั้นพรมแดน เป็นเวลาเดียวกับที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แรงงานข้ามชาติจำนวนมากจากประเทศเมียนมาถึงเวลาต่ออายุหรือขยายใบอนุญาตทำงานพอดี กระบวนการนี้ไม่สามารถทำได้ในกรุงเทพฯ แต่ละคนจำเป็นต้องกลับเดินทางกลับเมียนมา พวกเขาจึงมักผนวกเอาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานเข้ากับวันหยุดสงกรานต์เพื่อจะได้ใช้เวลาในบ้านเกิดอย่างคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปิดประเทศทำให้หลายคนตกงาน แม้แต่กลุ่มที่ (ยัง) ไม่ถูกเลิกจ้างก็มีความวิตกกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้และวันหนึ่งในไม่ช้าพวกเขาอาจจะถูกให้ออกจากงานเช่นกัน ทำให้พวกเขาเกิดความกังวลว่าควรจะกลับบ้านที่เมียนมาหรือว่ารอให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วจึงต่อวีซ่าหรือว่าควรจะอาศัยอยู่ในประเทศไทยต่อไป

ในกลุ่มที่ตัดสินใจเดินทางกลับ หลายคนต้องติดอยู่ที่ชายแดนไทย-เมียนมา เนื่องจากพรมแดนถูกปิดต้องใช้เวลาหลายวันก่อนที่รัฐบาลไทยและเมียนมาจะมีข้อตกลงเปิดพรมแดนชั่วคราวให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เดินทางกลับได้ ในเวลานั้นรัฐบาลเมียนมากีดกันพลเมืองของตัวเองที่จะกลับบ้านเช่นเดียวกับประเทศไทย กลุ่มผู้ถูกส่งกลับจำเป็นต้องกักกันตัวเองเป็นเวลา 16 วัน ตามที่รัฐบาลเมียนมาสั่ง ต่อมาผู้เดินทางกลับบางส่วนต้องการกลับมาที่ฝั่งไทยเมื่อทราบข่าวจากเพื่อนฝูงของตนเองว่าโรงงานในไทยได้เปิดทำการอีกครั้งหลังจากปิดไป 3 เดือน แต่พรมแดนก็ยังคงปิดไม่ให้มนุษย์ข้ามได้ ยกเว้นการเปิดพรมแดนเพื่อการซื้อขายสินค้าเท่านั้น พวกเขาหลายคนตัดสินใจเดินทางกลับโดยข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายซึ่งบางส่วนถูกตำรวจชายแดนไทยจับตัวและส่งกลับไปยังฝั่งเมียนมา

นอกจากนี้ ยังมีช่วงเวลาที่รัฐบาลท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นในการเปิดพรมแดนให้ผู้อพยพข้ามกลับได้ แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องมีเอกสารแสดงตัวตนทั้งหมดตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นเพื่อผ่านพรมแดนสุขภาพ ที่ชายแดนฝั่งไทย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายของผู้อพยพ มีกรณีที่ผู้อพยพชาวไทใหญ่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจากฝั่งเมียนมาแล้วจะเข้ามายังฝั่งไทยแต่อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส  เจ้าหน้าที่ไทยจึงได้ส่งตัวเขากลับแต่รัฐบาลเมียนมาไม่ให้เขากลับเข้าประเทศ นักเคลื่อนไหวท้องถิ่นใน อ.แม่สอด รายงานว่ามีอีกกรณีหนึ่งที่แรงงานหญิงชาวมุสลิมกลับไปเมียนมาในช่วงแรกของการปิดพรมแดน พวกเธอสามารถกลับเข้าเมียนมาได้ แต่รัฐบาลเมียนมาได้กักกันพวกเธอไว้ที่ชายแดนเป็นเวลา 16 วัน เมื่อไปถึงบ้านชาวบ้านต่างไม่พอใจเพราะกลัวว่าพวกเธออาจแพร่เชื้อไวรัสไปยังพวกเขารวมถึงสมาชิกในครอบครัว จึงต้องอยู่ในบ้านเพิ่มอีก 14 วัน ต่อมาเมื่อกลับมาที่ฝั่งไทย ชุมชนแรงงานข้ามชาติใน อ.แม่สอด ก็เรียกร้องให้กักกันตนเองอีก 14 วัน เธอได้รับอาหารจากพี่สาวที่มาเยี่ยมเธอวันละสองครั้ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในช่วงการระบาดของโควิด – 19 และระยะผ่อนคลาย แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในสถานะจำกัดอยู่แล้วจะต้องตกอยู่ในเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย ซึ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะสิ้นสุดเมื่อใด ชีวิตของพวกเขาเหมือนจำกัดอยู่ระหว่างเขตแดนสองชั้น  ชั้นแรกมาจากสถานะของพวกเขาในสังคมไทย และโควิด – 19 ก็มาสร้างความจำกัดอีกชั้นให้กับพวกเขา

iii. ความยากลำบากที่เพิ่มขึ้น

มีแรงงานข้ามชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่ตัดสินใจไม่กลับเนื่องจากยังไม่ถูกยกเลิกการจ้างงานหรือนายจ้างไม่อนุญาตให้กลับ กลุ่มนี้อาจไม่ต้องเผชิญกับความจำกัดสองชั้นหรือหลายชั้นแต่กลับต้องรับมือกับความยากลำบากในชีวิตประจำวันขณะที่อยู่ในช่วงเวลานี้

ตี๋ตี๋ ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เธอกล่าวว่าแม้ว่าโควิด – 19 จะไม่ได้ทำให้เธอตกงานแต่ในระหว่างที่ปิดประเทศ เธอจะต้องเพิ่มชั่วโมงการทำงาน เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวของนายจ้างอยู่กับบ้านในช่วงระหว่างการล็อกดาวน์ นอกเหนือจากหน้าที่ประจำแล้ว พวกเขายังเรียกร้องการบริการเพิ่มขึ้น ดังนั้น เธอจึงมีเวลาพักผ่อนน้อยลง เธอกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้พอรับได้และดีกว่าที่จะต้องตกงานในช่วงวิกฤติแบบนี้ เช่นเดียวกับกรณีของ ตู โม ที่ทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านค้าใจกลางกรุงเทพฯ เธอไม่สามารถกลับไปประเทศเมียนมาได้เพราะนายจ้างไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงที่เธออาจไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีก เธอเล่าให้ฟังว่าคิดถึงครอบครัวโดยเฉพาะลูกชายวัย 2 ขวบ ที่พากลับประเทศเมียนมาเมื่อปีที่แล้วและขอให้พ่อแม่ช่วยดูแลเขา เธอตั้งตารอจะได้เห็นและกอดเขาอีกครั้งในช่วงติงจัน (Thingyan) ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ของเมียนมาแต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะการระบาดของโรคโควิด – 19 สำหรับเธอแล้วติงจันไม่ได้เป็นแค่วันหยุดเท่านั้นแต่ยังเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่ได้อยู่บ้านพักผ่อนพบปะเพื่อนฝูงและญาติๆ เข้าร่วมในพิธีทางศาสนารวมถึงการจัดการธุระทางราชการ เช่น การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน

วิน หนุ่มชาวลาหู่-พม่า ทำงานในฟาร์มกล้วยไม้ จ.นครปฐม เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด – 19 เขาและเพื่อนร่วมงานต้องทำงานทุกวัน แต่ในระหว่างการปิดประเทศ คำสั่งซื้อจากต่างประเทศได้หยุดชะงักลง นายจ้างของเขาเลิกเพาะปลูกกล้วยไม้และเลิกจ้างพนักงานครึ่งหนึ่ง ตัวเขาไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากทำงานกับนายจ้างคนนี้มาเกือบ 8 ปี แต่เขาไม่ได้เงินเดือน นายจ้างอนุญาตให้เขาอยู่ในบ้านพักคนงานได้ เขาหยุดส่งเงินกลับบ้านเป็นเวลานานกว่าสามเดือน ภรรยาโทรมาถามว่าจะส่งเงินให้เธอได้เมื่อไรเพราะลูกๆ ต้องกินและใช้จ่ายทุกวัน เขาต้องการงานพาร์ตไทม์เพื่อหารายได้แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยในช่วงเวลานี้ ทำให้เขาเครียดและสิ้นหวัง

นาฬิกาแสดงเขตเวลาในสำนักงานศุลกากรของชายแดนไทย-เมียนมา อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และ อ.แม่สอด ประเทศไทย (เครดิตภาพถ่าย) Uwe Aranas

นาฬิกาแสดงเขตเวลาในสำนักงานศุลกากรของชายแดนไทย-เมียนมา อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และ อ.แม่สอด ประเทศไทย (เครดิตภาพถ่าย) Uwe Aranas

บทสรุป

ดังที่เรารู้กันดีว่าการระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อร่างกายของผู้อพยพในรูปแบบที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันกับคนไทย สำหรับแรงงานข้ามชาติชาวพม่า ร่างกายของพวกเขามีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจไทยในฐานะแรงงาน ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ในแง่หนึ่งมันเป็นร่างกายที่ใช้แล้วทิ้ง เพราะเมื่อพวกเขากลับไป แรงงานอพยพคนอื่นก็สามารถเข้ามาแทนที่เขาหรือเธอได้ ในแง่นี้พวกเขาจึงเป็น 'อื่น' ที่เป็นแก่นสารสำหรับรัฐไทย (และพลเมืองจำนวนมากที่จ้างแรงงานข้ามชาติเหล่านี้)

ในขณะที่โควิด -19 ให้ความสำคัญกับ 'ร่างกาย' รุนแรงขึ้น โดยการกำหนดสถานะของการยกเว้นและการสร้างพรมแดนด้านสุขภาพที่เข้มงวดนอกเหนือจากพรมแดนปกติ (ทางการด้านเมืองหรือภูมิศาสตร์) การที่พลเมืองไทยกลับมาค้นพบว่าตัวพวกเขาเองถูกควบคุมในรูปแบบลักษณะเดียวกัน เนื่องจากร่างกายของพวกเขาในฐานะที่เป็นพาหะของไวรัสอยู่ภายใต้ระบบการปกครองด้านสุขภาพเดียวกันซึ่งกำหนดให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหรือไม่ใช่พลเมืองต้องได้รับการตรวจสอบและเข้าสู่ช่วงกำกวม ก่อนที่จะได้รับการยอมรับกลับเข้าสู่สังคมไทย ผู้เขียนชี้แจงให้เห็นในบทความนี้แล้วว่าเป้าหมายสูงสุดของสังคมไทยคือ การทำให้สังคมบริสุทธิ์ การชำระล้างเชื้อไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งการได้รับการยอมรับจากนานาชาติสำหรับการรับมือที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้คำนึงถึงพลเมืองของตนเองที่หลงเหลืออยู่ในต่างประเทศ เศรษฐกิจที่ตกต่ำ คนตกงานและการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นในระดับประเทศ

แม้ว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจะมียอดผู้ป่วยรายใหม่เป็นศูนย์ แต่จากการสำรวจชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างเป็นวงกว้างในหมู่ประชาชนเพื่อให้ใช้ พรก.ฉุกเฉิน และรักษาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นศูนย์จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวาทกรรมเรื่องความบริสุทธิ์ของชาติไทยดำเนินไปอย่างลึกซึ้งและแพร่หลาย (ไม่เพียงแค่ในรัฐบาล) แม้ว่าหน่วยงานด้านสุขภาพของไทยจะมีความพร้อมในการรับมือกับผู้ป่วยในระดับหนึ่ง (ซึ่งอาจมีหากรัฐผ่อนปรนมาตรการและกฎระเบียบต่างๆ มากกว่านี้) แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยกเลิกภาวะฉุกเฉินลงเมื่อใด

———

* คณะกรรมการ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการเมืองทรัพยากรเพื่อการพัฒนาสังคม ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[1] ดร.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกประจำศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด – 19  อ้างจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (13 พฤษภาคม 2020) ไม่มีการเรียกข้อมูลผู้ติดเชื้อราย ใหม่จากครั้งแรกโดย https://www.bangkokpost.com/thailand/general/1917380/no-new-covid-cases-for-the-first-time  (เข้าถึงครั้งสุดท้ายวันที่ 1 ตุลาคม 2563)

[2] ในประเทศไทยทุกคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด – 19 จะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลและถูกกักบริเวณ

[3] อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และคณะ (2020) โครงการวิจัย คนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

CRITICAL NATURE: Protecting journalists to protect the environment: Can a Southeast Asian Press Councils Network help?

by Anisa Widyasari*

[Thai version available here]

Deforestation in Borneo. Picture by IndoMet in the Heart of Borneo, ">CC BY 2.0, via Wikimedia Commons

Deforestation in Borneo. Picture by IndoMet in the Heart of Borneo, CC BY 2.0, via Wikimedia Commons

In Southeast Asia, journalism work can be dangerous with environmental reporters among those who consistently face threats, physical harm and even get killed for doing their work. This is of extreme concern as environmental journalists are at the forefront of our quest to protect the environment, as they play a pivotal role in educating the public about environmental issues.

Southeast Asia is consistently ranked[i] amongst those with the most hostile climate for journalists and environment reporters with many targeted with threats and, in some cases, even murdered. The Guardian stated that environmental reporting is the one of the most dangerous fields of journalism after war reporting[ii]. Based on the report released by Reporters Sans Frontières (RSF) in 2016, ninety percent of the killings of environmental journalist have been in Asia, with Southeast Asia being the deadliest[iii].

One of the most important agencies for the protection of journalists and press freedom are national Press Councils. These are self-regulatory bodies set up by the media themselves in order to maintain public confidence – they set professional standards for journalists and set rules so that people featured in news media can complain if there is inaccuracy.[iv] Therefore, Press Councils play an important role in ensuring media accountability. A Press Council stands for good, responsible and reliable journalism as it promotes an ethical code for journalists and investigates complaints about a breach of this code[v]. By abiding to the rules of a Press Council, journalists and media professionals declare their dedication to the values of objectivity, plurality and democracy.

In Southeast Asia, Press Councils are present in only five of the eleven countries: Indonesia, the Philippines, Thailand, Myanmar, and Timor-Leste. In 2019, four of them established the Southeast Asian Press Councils Network (SEAPC-Net), citing the need for regional cooperation[vi]. The idea of this regional cooperation was seen as beneficial in the effort to improve press freedom in the region. Regional cooperation can address common regional press challenges and opportunities in Southeast Asia as well as provide a platform for journalists to exchange information.

This article looks at the current state of environmental journalism in Southeast Asia and explores whether a Regional Press Councils Network would be able to both help protect environmental journalists and further goals on sustainable development across Southeast Asia.

The Status of Press Freedom in Southeast Asia

Southeast Asia faces a critical situation in regard to fundamental freedoms, which include press freedom (as cited by several press freedom reports and freedom of expression index including Reporters Sans Frontières (RSF)[vii] and Freedom House[viii]). Despite having an ASEAN Charter and ASEAN Human Rights Declaration which stipulates that ASEAN and its Member States shall respect every person’s “right to freedom of opinion an expression, including freedom to hold opinions without interference and to seek, receive and impart information[ix], current trends show that the space for public to express their opinion is shrinking throughout the region.

Copy of CN-Info-2102.png
 

Figure 1. Southeast Asian Countries performance in Press Freedom Index by RSF[x] and Global Freedom Index by Freedom House[xi], 2020

 

According to the 2020 World Press Freedom Index from RSF, Timor-Leste, is the only country in the region with a rank among the top 100. The rest, with the exception of Malaysia and Indonesia, are within the bottom third of the list with Vietnam being the worst performing country in terms of press freedom in the region. Meanwhile, the 2020 report from Freedom House showed that, except for Timor-Leste, none of the countries in the region can be categorized as ‘free’ with regards to freedom of expression; The Philippines, Indonesia, Malaysia, Singapore, and Thailand were ‘partly free’ while the others were ‘not free’. This data provides a good insight on the serious situation faced by journalists working in Southeast Asia.

The data also shows the poor record of the government in the region in upholding press freedom, even though rights to freedom of press is acknowledged in various international human rights instruments. Article 19 of the Universal Declaration on Human Rights explicitly states that: “Everyone has the right to freedom of opinion and expression; this right includes freedom to hold opinions without interference and to seek, receive and impart information and ideas through any media and regardless of frontier”.

The countries in the region, except Brunei, Malaysia, Myanmar and Singapore, are also a signatory party to the International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR). ICCPR also guarantees the freedom of the press in its Article 19, which explains that “everyone shall have the right to freedom of expression; this right shall include freedom to seek, receive and impart information and ideas of all kinds, regardless of frontiers, either orally, in writing or in print, in the form of art, or through any other media of his choice”.

Today, in Southeast Asia, only five countries have existing Press Councils: Indonesia, the Philippines, Thailand, Myanmar, and Timor-Leste. The presence of these self-regulatory bodies in a minority of countries in the region is indicative of the predominance of state regulation around the region, instead of media self-regulation, in dealing with media ethics and freedom issues. The predominance of state-owned or controlled media has prevented the emergence of independent bodies to examine media ethical practices as well as promote freedom of the press.

Harassment of Environmental Journalists

Harassment of environmental journalists most often by state actors is common in the region. Some of these incidents have even resulted in the deaths of reporters. The high risks faced by environment journalists is on a par with the serious threats faced by environmental activists: for instance, 164 environmental activists were killed in 2018 globally with the Philippines found to be the deadliest country for environmental defenders in that year, with 30 environmentalists murdered[xii].

One of the most infamous cases of the killing of an environment journalist in the Philippines happened in January 2017: Mario Contaoi, an educator and former environmental protection broadcaster, was shot dead by an unknown assailant. Contaoi was frequently outspoken against the heavy military presence in places where environmentally destructive projects are located[xiii]. Even until now, the authorities have yet to determine the assailant and the motive for the murder[xiv].

In Cambodia, Hang Serei Odom, a reporter for the Khmer-language Virakchun Khmer Daily, was found dead in the trunk of his car at a cashew plantation in O'Chum district of northeastern Ratanakiri province in September 2012. Hang Serei Odom frequently reported on illegal logging activities in the province[xv]. A local military police captain and his wife were initially charged with the murder, but charges were later dropped[xvi].

Myanmar is also a dangerous place to report on the environment. Soe Moe Tun, a local journalist for Daily Eleven newspaper was beaten to death on December 2016. The perpetrator and motive behind his murder was not found, but at the time of his death, he was investigating a story of illegal logging and wood smuggling in Sagaing Region[xvii]. Just a few months before, in October, another journalist, Ko Tin Zaw Oo, who had been writing about the illegal sawmills in Thabeikkyin Township was receiving threats and intimidation and had to go into hiding[xviii].

In Indonesia, Maraden Sianipar and Martua Siregar, two journalists who had reported on an illegal oil palm plantation in North Sumatra were found dead in a ditch near the plantation on October 30 2019, just a few weeks after the death of Golfrid Siregar, a well-known environmental activist also from North Sumatra[xix]. Five people, including the alleged owner of an oil palm plantation in Sumatra where two journalists were found dead, have been charged with their murder[xx].

Environmental reporting is not only risky for the journalists but it’s also dangerous for the local communities since most of the environmental reporting will cover cases which feature the affected communities. One of the most chilling examples is the death of Chut Wutty, the president of the Phnom Penh-based Natural Resource Conservation Group, who was killed by the police while taking to two journalists near an allegedly illegal logging site in April 2012[xxi].

The dangers of environmental reporting also include legal risks. Legal harassment is one of the most common forms of harassment of environmental journalists, the region’s governments are adept at passing and using repressive laws to silence voices of dissent. More recently, the growth of online media platforms has resulted in a mushrooming of laws aimed at curbing web-based journalism and silencing online reporting.

For example, on November 12, 2015 in Thailand, Tungkum Ltd., a Thai mining firm filed an initial complaint against several journalists from Thai PBS, the local public television channel, about a citizen-journalist news clip showing a youth camp involved in raising awareness of environmental issues in Wang Sa Phung District, Loei Province[xxii]. The firm filed the complaint referring to Section 326 of Thailand’s criminal code on public defamation[xxiii]. According to Fortify Rights, during 2010-2018, Tungkum Ltd. has brought at least 19 other criminal and civil lawsuits against 33 Loei residents, including members of the Khon Rak Ban Kerd Group (KRBKG), a community-based environmental organization actively engaged in protesting local gold mining operations[xxiv].

This legal harassment does not just target local journalists but foreign journalist as well. In a case from Indonesia last year, Philip Jacobson, an editor for the non-profit U.S.-based conservation and environmental science platform Mongabay was detained on December 17, 2019 then later arrested on January 21, 2020 by Indonesia’s immigration authorities alleging that he violated the conditions of his visa[xxv].  Jacobson has previously written articles for Mongabay about the environmental destruction caused by one of Indonesia’s largest paper producers in Borneo, and often criticized Indonesian president Joko Widodo on his track record on environmental issues[xxvi].

Would a Press Council have worked to support or defend the journalists in these above cases? The answer is not yet totally clear since in those countries with a Press Council, their role in these cases of harassment has varied from country to country.  In general, the power of the Press Council is related to media ethics and their own code of conduct, so they are unable to interfere with legal proceeding when court cases are brought against reporters. The role of the Press Council seems mainly to raise awareness about the cases and pressure their government to uphold principles of press freedom, a role which could be amplified cross the region by an active network of Regional Press Councils. A Press Councils Network could also help to consolidate regional advocacy strategies in pressuring individual governments to ensure press freedom in their respective countries.

Environmental Journalism for Enhanced Transparency and Accountability

In Southeast Asia as elsewhere, a number of so-called development projects can result in adverse impacts on the environment and local economies. Journalists play an important role in raising public awareness about the socio-environmental impact of these projects. Along with Civil Society Organisations (CSO) and others, reporters help with transparency and accountability in public sector projects undertaken by the government and also private sector investments. Press freedom is therefore an essential pillar for achieving sustainable development in the region.

In December 2018, Center for Social Development Studies (CSDS) organized a Policy Forum on Resource Politics and the Public Sphere in Southeast Asia: Deliberation, Accountability and Alternatives, which addressed the challenge of the shrinking public sphere in the region, including the media. The event highlighted the role of public spaces, mass media, and social media in protecting the local commons and community livelihoods, and therefore showing the importance of environmental reporting as the pillar of sustainable development[xxvii]. From the discussion on the event, it is apparent that journalists can help further the message of sustainable development by writing compelling stories and help educating the public in the process.

One example of the role of journalism in sustainable development is the environmental reporting on topics around the Mekong River, where journalists are working together to raise awareness about the dangers to the Mekong River Basin ecosystems and the impacts of development projects like hydropower infrastructure on livelihoods and health[xxviii]. Formed in September 2014, the Mekong Matters Journalism Network helped to connect and train journalists in the Lower Mekong and they have produced numerous stories covering environmental issues such as drought, coal plants and hydropower[xxix].

This kind of positive initiative would be useful if replicated in other places in the region, and this is where a Regional Press Councils Network could play a valuable role in providing a platform for journalists in the region to exchange information, not only about news and stories but also about best practices and initiatives that could help maximize their role in educating the public especially in regard to environmental issues.

Utilizing the Existing Media Networks

One example of an existing Regional Press Councils Network is the Alliance of Independent Press Councils in Europe (AIPCE), which is a loose-knit network of European Press Councils for both press and broadcast media[xxx]. The network regularly organized annual conferences where it provides a forum for media, Press Councils and other international organizations to discuss topics on journalistic ethics and to exchange ideas, experiences and information. The network has been seen as a useful platform to learn from each other and discuss the common challenges and sharing advice on how to keep the Press Council in each country independent and financially sustainable[xxxi].

In Southeast Asia, Southeast Asian Press Councils Network (SEAPC-Net) was established in September 2019 with the Indonesia Press Council, Myanmar Press Council, Timor-Leste Press Council and the National Press Council of Thailand as the founding members through the Bangkok Declaration[xxxii]. In the declaration, they mentioned the need for regional co-operation between the Press Councils and recognized the similarities of the challenges in Southeast Asia in terms of press freedom.  One of the activities they did together in 2020 was issuing a joint statement on May 6 about combating COVID-19, where the network reminded the press to always comply with the basic principles in the journalists’ code of ethics as well as to adhere to the health and safety protocols when reporting on COVID-19 cases[xxxiii]. On December 11 last year, they also held their annual general meeting where they set plans for 2021, which includes expanding the network and organizing seminars related to promoting freedom and ethics of the press in the region[xxxiv].

Apart from coordinating their efforts in tackling various journalism and ethics issues in the region, another thing that could be expected from the work of a Southeast Asia Press Councils Network is for them to be working together with existing journalists in other countries in the region who still do not have an official Press Council. The Press Councils Network could help those countries to establish one by advocating its importance to the governments, as well as sharing the best practices they already have in their own countries.

In terms of protection of journalists especially those who are covering on sensitive topics like illegal logging, mining and wildlife trade, the Press Councils Network could make a joint effort in raising awareness of this issue, highlighting how instead of looking at environment journalists as a threat, they should be seen as valuable allies in achieving goals on sustainable development, and also ensure that there is better accountability in managing development projects both by state and the private sector. The journalists can be better afforded protection if governments are serious about the threats faced by reporters who need to deal with actual physical harm just for doing their duty as reporters. It also can help if governments do not always try to use harsh laws to clamp down on press reporters. Regional governments therefore should take adequate steps to ensure the protection of the environment journalists and help them to conduct their duties by providing a safe working space.

Acknowledgment

The author would like to thank Rajesh Daniel and Carl Middleton for their helpful comments and editorial review of this article.

———-

* Researcher, Center of Excellence in Resource Politics for Social Development, Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University

[i] See also: Hostile Climate For Environmental Journalist (RSF, 2015), 2020 World Press Freedom Index: “Entering A Decisive Decade For Journalism, Exacerbated By Coronavirus” (RSF, 2020), A Leaderless Struggle For Democracy (Freedom House, 2020).

[ii] Juliette Garside and Jonathan Watts, 'Environment Reporters Facing Harassment And Murder, Study Finds' (the Guardian, 2019).

[iii] Reporters Without Borders, 'Hostile Climate For Environmental Journalist' (2015).

[iv] Alliance Of Independent Press Councils Of Europe (AIPCE), ‘About' (Presscouncils.eu, 2015).

[v] 'Role Of A Press Council In Promoting Responsible Journalism' (Unesco.org, 2013).

[vi] Southeast Asian Press Councils Network, 'Bangkok Declaration' (2018).

[vii] '2020 World Press Freedom Index: “Entering A Decisive Decade For Journalism, Exacerbated By Coronavirus”' (RSF, 2020).

[viii] 'A Leaderless Struggle For Democracy' (Freedom House, 2020).

[ix]Charter of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN Charter)’ (asean.org, 2007).

[x] '2020 World Press Freedom Index | Reporters Without Borders' (RSF, 2020).

[xi] 'Countries And Territories' (Freedom House, 2020).

[xii]Defending The Philippines' (Global Witness, 2019).

[xiii] 'The Murder Of Environmental Protection Advocates Must Outrage Us All' (The Manila Times, 2017).

[xiv] The Aktionsbündnis Menschenrechte – Philippinen, 'Human Rights In The Philippines Under Duterte' (2019).

[xv]   'Cambodian Journalist Found Dead In His Own Car' (Committee to Protect Journalists, 2012).

[xvi]   ‘A Bad Year For Journalism' (The Cambodia Daily, 2018).

[xvii] Maung Zaw, 'Police Suspect Murder After Eleven Media Reporter Found Dead' (The Myanmar Times, 2016).

[xviii] Kyaw Ko Ko, 'Mandalay Journalist Threatened After Reporting On Illegal Logging' (The Myanmar Times, 2016).

[xix] 'Indonesian Journalists Critical Of Illegal Palm Plantation Found Dead' (EcoWatch, 2019).

[xx] Basten Gokkon, 'Palm Owner Charged With Ordering Murder Of Two Journalists In Indonesia' (Mongabay Environmental News, 2019).

[xxi]  'Cambodian Activist Killed While Helping Journalists' (Committee to Protect Journalists, 2012).

[xxii] 'Thailand: Dismiss Criminal-Defamation Charges Against Thai PBS And Journalists - Fortify Rights' (Fortify Rights, 2018).

[xxiii] 'Tung Kham Company Sued Youth Journalist And Thai PBS' (Freedom.ilaw.or.th).

[xxiv] 'Thailand: Uphold Decision To Dismiss Criminal-Defamation Complaint Against Thai PBS And Journalists - Fortify Rights' (Fortify Rights, 2018).

[xxv] Richard C. Paddock, 'American Journalist Is Arrested In Indonesia Over Visa Issue' (Nytimes.com, 2020).

[xxvi]   Amy Gunia, 'Indonesia Arrests American Journalist Over Alleged Visa Issue' (Time, 2020).

[xxvii]   CSDS Communications, 'EVENT [REPORT]: Policy Forum On Resource Politics And The Public Sphere In Southeast Asia: Deliberation, Accountability And Alternatives [Bangkok, 13 December 2018] — Center For Social Development Studies' (CSDS, 2018).

[xxviii] 'Mekong Matters Journalism Network' (Earth Journalism Network).

[xxix]Environmental Journalists Net Stories In The Mekong | Internews' (Internews.org, 2017).

[xxx] 'Alliance Of Independent Press Councils Of Europe' (Ethical Journalism Network).

[xxxi] 'European Press Councils Reaffirm Central Role Of Self-Regulation In Maintaining The Quality Of Journalism' (UNESCO, 2017).

[xxxii] Southeast Asian Press Councils Network, 'Bangkok Declaration' (2018).

[xxxiii] 'Joint Statement : SEAPC-Net Solidarity In Combating The Pandemic Coronavirus (COVID-19)' (Presscouncil.or.th, 2020).

[xxxiv]ปธ. สภาการสื่อมวลชนฯ ประชุมสามัญประจำปี SEAPC-Net’ (Presscouncil.or.th, 2020).

BOOK CHAPTER: Flooding disaster, people’s displacement and state response: A case study of Hat Yai Municipality, Thailand

9781003015062.jpg

Publication date:
December 2020

Publication:
Climate Change, Disasters, and Internal Displacement in Asia and the Pacific: A Human Rights-Based Approach

Chapter Title:
Flooding disaster, people’s displacement and state response: A case study of Hat Yai Municipality, Thailand

Authors:
Carl Middleton and Orapan Pratomlek

Editors:
Matthew Scott and Albert Salamanca

Read the chapter in Google books here. Learn more about the book here .

For more information about our work, visit our research theme on (Forced) Displacement and Development here , and our research on Flooding Disaster, People’s Displacement and State Response in Hat Yai.

Hat Yai City in Songkhla Province, Southern Thailand has regularly experienced flooding, with major floods most recently in 1988, 2000 and 2010. Each flood caused loss of life, as well as significant economic damage and disruption to people’s lives, including displacement. The government’s response has evolved over time, as has its capacity to respond. Recovery responses in 1988 and 2000 emphasized investment in hard infrastructure (canals and embankments) to redirect flood water around the city, and to manage flood water better within it. The 2010 flood, however, led to the realization that it was not possible to fully “flood-proof” the city, leading to investment in soft infrastructure in an approach that has become known as the ‘Hat Yai model.’ This includes: improved flood warning; and strengthening local government, community, civil society and business capacity to live with floods and manage displacement locally over the several days that flooding occurs.

In this chapter, we critically evaluate the Hat Yai model, with a focus on how it has progressively reduced the extent that displacement occurs during flooding, and how preparedness measures have addressed displacement when it does occur. Our research is based on key informant interviews and indepth community interviews conducted in 2018. Overall, we find that the Hat Yai model demonstrates the positive efforts of the government and non-state actors to improve community resilience and address flood-induced displacement through hard and soft infrastructure means. Yet, there are still unresolved issues including: how the protection of Hat Yai city comes at the expense of prolonged or exacerbated flooding in other areas nearby to the city (i.e. risk redistribution); and that there remain especially marginalized communities in the city who regularly experience flooding with displacement with little state support or prospect for durable solutions.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Middleton, C. and Pratomlek, O. (2021) “Flooding disaster, people’s displacement and state response: A case study of Hat Yai Municipality, Thailand” (pp 57-78) in Climate Change, Disasters, and Internal Displacement in Asia and the Pacific: A Human Rights-Based Approach. Routledge

CRITICAL NATURE: COVID-19, Health Borders, and the Purity of the Thai Nation

by Jiraporn Laocharoenwong*

[Thai version available here]

 Temperature Check at Myanmar/Thai Border (c) Thant Zin Aung / Myanmar Work in Thailand

Temperature Check at Myanmar/Thai Border (c) Thant Zin Aung / Myanmar Work in Thailand

Even though Thailand was the first country outside of China to record COVID-19 infections, the country has been successful in controlling the disease. Infections reached a peak of about 100-150 per day in March 2020, but dwindled to zero cases in May and has remained there since, with totals of around 3,500 infections and 59 deaths since the start of the pandemic. The EU consequently announced Thailand as no longer a dangerous zone. This makes one wonder how the Thai state is able to control/manage the pandemic.

This article examines the ad-hoc policy and regulation applied by the Thai government in controlling the spread of COVID-19 in the country. Based on document and fieldwork research, it reveals that in order to control spreading of the virus (both from outside and inside the country), the Thai government erected a ‘health border’ to control mobility of the people, as well as set up a governing body, the Center for Resolution for Emergency Resolution COVID-19 under the emergency decree. What is needed to pass this ‘health border’ is a Fit-to-Fly certificate, TM.08 form, health certificate indicating COVID-19 negative test, 14 days state-quarantine for people who return from abroad, while domestic regulation for the Thai people inside the country has involved lockdown and prohibition of interprovincial mobility, which also requires a health certificate and official permission to travel between provinces.  

Paradoxically, at the beginning of the crisis, almost all governments around the world recalled their citizens to return to their motherland, but the Thai government actually blocked their citizens to return home, which led many Thai overseas students to be stuck in transitory countries for several days. It was only later that the Thai government announced this ‘health border’, also requiring Thai citizens to complete a health check before returning (the one who is not fit cannot fly).

Instead of seeing and treating the Thai people as citizens that the state needs to protect, the Thai government categorizes people into two boxes: the infectious and the pure body. I draw my analysis upon a concept of Douglas on Purity and Danger (Douglas, 1966). The establishment of a health border and regulation does not only control the spreading of the virus, it suggests that the ultimate concern of the Thai government is reaching and maintaining zero cases and the purity of its nation. Moreover, the Thai overseas migrants returning from abroad and migrant workers are seen as ‘contaminated  bodies’, considered to be dangerous, and become a subject of control and purification. They have to be in a state or an alternative state quarantine without leaving the hotel room for 14 days before they are fully welcomed back home. This is like a rite de passage where a body has to pass through a purification process in order to be accepted back into the Thai society, similar to the idea of putting a criminal in prison in the hope that prison can convert bad people to be good. During this liminal period, the body is not treated fully as a citizen, but similar to a prisoner.

Health Borders: Temperature check in Mae Sot Border (c) Raweeporn Dokmai

Health Borders: Temperature check in Mae Sot Border (c) Raweeporn Dokmai

Health Borders

The Thai government’s response to COVID-19 shares similarities with other countries around the world. State, border and health expertise play a strong role during this crisis involving the death and lives of the people, which scholars have analyzed as ‘state of exception’ (Agamben, 2005). During the COVID-19 emergency crisis, especially, there was nothing more important than ‘health’ or ‘bio-security’, which leads to withdrawal of rights and privacy of the citizen (Agamben, 2020). In such a state of exception, the sovereign (the state) has the power to decide which persons' lives are worth saving and which ones are not. However, what COVID-19 policies effectively did to Thai overseas migrants and migrants from neighboring countries is to blur the boundary of ‘citizen’ and ‘other’. Under the name of health and bio-security, everybody is treated as potentially dangerous, simply a body subject to the state of exception where everyone, citizen or non-citizen, needs to pass through a newly erected health border (in addition to the geographical and political border) in order to screen the health of the body before entering into the Kingdom.

Before the COVID-19 pandemic, international travel required a valid passport and visa to cross the national border. Some countries ask you to fill in the form of declaration that you do not bring any prohibited goods or food to their lands, but during the pandemic, the Thai state requires you to declare your healthiness through fit-to fly, COVID-19 test 72 hour in advance, a TM 08 form, and then a mandatory quarantine. It is like crossing double borders, where the health border has even more stringent requirements than the political one.

Unlike common situations in the Southeast Asia region where (land) borders are often porous and permeable (van Schendel and de Maaker, 2014), COVID-19 caused the Thai government to shut all of the immigration/emigration points, and to seal the entire national border, which is around 5,656 km long. This phenomenon has never happened before. The sealed border was a necessary requirement to declare the state of emergency for health reasons, with the goal of reaching zero cases of infections.

The health border for the Thai citizen specifically comprised:

  • Fit to Fly/Fit to Travel  certificate, issued by a doctor

  • Health certificate indicating COVID-19 negative test

  • TM.08 form, application for re-entry permit to return into the Thai Kingdom

  • Declaration form for 14 days state quarantine

In order to return to Thailand, the Thai overseas returnees need to contact the Thai embassies at the countries where they stay. They need to follow all the procedures and complete all documents. Everything needed to be organized through the Thai embassies locally including arranging for your (repatriation) flight; it is not possible to book your own flight. Upon return, you will be transported to the allocated hotel that you will stay for another 14 days. However, the Thai overseas migrants are not homogenous. They are students, civil servants, tourists, foreign partners, (undocumented) migrant workers. Not all of them are able to get these documents due to difficult procedures, lacking a legal document, or having other difficulties.

Thai migrant workers from Malaysia express that it was difficult to get the Fit-to-Travel certification (they travel by land), especially for those who cannot speak Malay and English. Some of them indicate that in order to get all these documents, they need to travel from their workplaces, which are close to the Thai border, to Kuala Lumpur, the capital of Malaysia. It costs them a lot of money and time. Many of them decide to illegally cross the border back to Thailand. Moreover, the border has been sealed and the Thai government only allows for 100 returnees per day. Some of them have to wait for more than a week to go back to Thailand.  In the health border, citizenship almost carries no weight, it is all about bio-security and zero cases infection. Fassin emphasizes that it is “the tenets of bio-power to make live becomes a matter of choice over who shall live and what sort of life and how long”. Additionaly, life under bio-power is inequality (Fassin, 2009:53). The case of Thai migrant workers from Malaysia clearly show that under this health border, their return is deferred by the Thai state. Their lives might not be important while their bodies are subject of control with demanding to sacrifice for maintain and controlling the virus.

Purity of the Thai (national) body

Taweesin Visanuyothin, giving brief summaries of COVID-19 situation at Center of COVID-19 Situation Administration (CCSA), Government House of Thailand on April 2, 2020 (c) National Broadcasting Services of Thailand

Taweesin Visanuyothin, giving brief summaries of COVID-19 situation at Center of COVID-19 Situation Administration (CCSA), Government House of Thailand on April 2, 2020 (c) National Broadcasting Services of Thailand

Since May 3, the number of new COVID-19 cases reported daily had been in single figures, except for 18 found among quarantined migrants in Songkhla province on May 4”, said Dr. Taweesilp Visanuyothin[1].

The quote clearly shows that Thailand is for the first time free from COVID-19[2] and the body of the Thai nation was cleansed, or purified. The exception in the quote was telling: the migrants who returned from Malaysia and stayed in state quarantine were not considered part of the Thai 'national body', nor did they count as Thai since they were migrants, whose bodies are suspect, having a potential to be infectious. This will contaminate the purity of the Thai national body.

Dr. Taweesilp spoke further:

 "We can relax, but cannot be reckless... Please keep to the new-normal practices. Finally, we may be among the first countries able to end the hardship brought by this disease".

This quote reveals that what the Thai state wants is to claim the credit and recognition from the international community that Thailand is able to deal with this disease and being among the first COVID-19-free countries. However, in order to keep the country free from COVID-19 (which is actually almost impossible to do so) it requires many sacrifices. Apart from the sacrifice of hard-working medical staff, the imposition of lock down measurements obliges people to stay at home. This leads to jobs losses in sectors that depend on people going out, people not able to feed their families, and despair because savings are low and there are debts to pay. The Mental Health Department reports that there are 2551 Thai people committed suicide in early this year. The rate increased by 22 percent compared to last year. The research study from Thai scholar team discloses that among 38 cases that they interviewed attempted to commit suicide were due to lock down, business closure, job losses, and furloughs. Among those 38 cases, there are 28 resulted in death[3].     

The idea of ‘purity body’ of the nation also explicitly resulted in xenophobia and racism for the case of Thai migrants returning from South Korea. The Thai migrant workers, informally called ‘Phee Noi ’ or little ghost since they illegally and discretely stay and work in South Korea, were the first group of Thai migrants who returned. It raised a hot debate in Thai society when social media showed that a female migrant did not do the self-quarantine when she arrived in her hometown in Chiangrai, visiting a restaurant and went shopping. From her case, the Thai society started to pinpoint and blame the return migrants as lacking responsibility to Thai society (as they were also irresponsible for their illegal stay in South Korea which affected other Thai tourists) and that they would be a super spreader, all in spite of the fact that they were treated quite badly by the Thai government. It later turned out that the big spreader of the virus in Thailand is not from them, but the group of upper middle class and Thai celebrities visited the boxing stadium.  

Moreover, the idea of purity penetrates into the provincial level and into individuals' minds. Trang is one of a few provinces that is COVID-19 free according to the report from the Centre for Resolution of Emergency Situation. My friend, a Thai overseas student who returned from the United Kingdom just before the Thai government announced the closing of the border had done his self-quarantine for 14 days in his house in Trang province. During the waiting time, he told me that he worried that he might get an infection and spread disease to his parents, but what made him more anxious is that he would then be the first infection case in Trang province. His name would be announced and put a shame on him. One does not want to be the dangerous body to bring impurity to the land. It similarly reflects what the Thai government thinks of when dealing with COVID-19 being about ‘purity of the Thai national body’.

Temperature Check at Mae Sot Border (Thai side) (c) Raweeporn Dokmai

Temperature Check at Mae Sot Border (Thai side) (c) Raweeporn Dokmai

Migrants, returnees, body politics and liminality

During the unstable time of COVID-19, both the bodies of Thai overseas and other migrants were considered to be dangerous. Regardless of their nationality, whether they are Thai or non-Thai, they must be in quarantine before getting back to live in society. However, migrant workers from neighboring countries are already seen as ‘other’ and not being included in the Thai society. Although they are physically in Thailand, they are generally excluded with no access to full rights as a Thai citizen. COVID-19 affects the body of Thai and other migrants in different and similar ways as  I show in the following:

i. Suspect body and rite de passage

As I illustrated above Thai overseas migrants were required to submit so many documents before returning to Thailand. After arrival, everybody needs to be in a state quarantine for 14 days. Their body is considered to be dangerous as they might carry the virus, therefore they need to be in an isolated place. This is like a rite de passage where they are in liminal stage and they can only be accepted back into society after their bodies are confirmed to be free from the virus. Moreover, the regulation blurs a boundary between being citizen and being migrant (other) by reducing it to be a suspect body. In other words, COVID-19 has temporarily removed rights of the citizen to become bare life (Agamben, 2005). By labelling all bodies coming from abroad as dangerous bodies, the bare body, irrespective of being a Thai citizen or a migrant, becomes a threat to national health security of the whole society. It is this way how the state of exception is operated.

However, the body of Burmese migrant workers, which is considered dangerous, at the same time contains some power. According to Douglas (1966), the body that is in a liminal stage, such as an unborn child in a woman's womb, is powerful since a child which does not yet become a human is a liminal subject whereby the child may inflict the death of the bearer. In the case of the migrant body, they might or might not carry the virus, so their status is unclear. Therefore, their body is dangerous to Thailand in general as they can spread the virus to the Thai citizen. In Singapore, migrant workers community were forgotten by the government and this led to a wide spread of the virus. This worries the Thai government since they want to keep Thailand out of a second wave. So, while migrant workers were spotted on and became subject of control, they also received the same medical treatment as the Thai people for a short time, because of the danger (and thereby power) that they wielded. At the same time, Thai overseas migrants experienced the feeling of their citizenship being partially removed when they crossed the health border. COVID-19 and the Thai government made them go through a short-time liminality period, for a moment sharing the same experience as migrant workers from neighboring countries. 

ii. Double liminality  

In mid-March, the Thai government announced a lock-down and sealing off of the border. It was the same time that the number of infection cases skyrocketed. For many migrant workers from Burma, it also happened to be their time to renew/extend their working permit, and this process cannot be done in Bangkok. Each of them needs to return to Myanmar. So they usually combine this renewal working permit with Songkran holidays, so they can spend some time at their hometown. However, due to the lockdown, many of them lost their jobs. Even the groups who were not (yet) unemployed had a real fear of an uncertain future and that one day soon they might be laid off as well. This led them to doubt whether they should return home to Myanmar, wait for the situation to improve and renew their visa, or that they should continue to stay in Thailand.

Of the group which decided to return, many got stuck at the Thailand-Myanmar border, because the borders were closed. It took several days before the Thai and Burmese government had an agreement to temporarily open the border for these groups of migrant workers to return. At that time, the Burmese government discouraged their own citizens to return home as well. The groups of returnees needed to self-quarantine for 16 days, as mandated by the Burmese government. A while later, some returnees wanted to return to the Thai side when they heard from their networks that the Thai factories were re-opened after a 3-month close. But the border was still closed for humans to cross, only open for commodity trading. Many of them decided to return by illegally crossing the border, upon which some were taken by the Thai border police and sent back to the Myanmar side.

There was also a time when the local government was flexible to open the border for migrants to cross back, however, they were required to have all obligatory documents as I mentioned above to pass the health border. At the border on the Thai side, the office checked migrants’ body temperature. There was a case that the Shan migrant passed the immigration control from Myanmar side then cross to Thai side, but his body’s temperature exceed 37.5 degrees Celsius. The Thai office sent him back, but the Burmese government did not want to take him back either.  Another case was reported by the local activist in Mae Sot about Muslim female migrants returned during the early time of the closed border. She was able to go back to Myanmar, but the Burmese state put them in a quarantine for 16 days at the border. When she arrived at her house, villagers were unhappy and afraid that she may spread the virus to them and their family members. She was required to stay inside her house for an additional 14 days. Later on, when she came back to Thai side, the migrant community in Mae Sot also required her to quarantine for 14 days and she relied on the food from her sister who visit her two times a day. This clearly show that during COVID-19 outbreak and relaxing phase, migrant workers who are already in a liminal position fall into another liminality with uncertainty when it will it end. Their lives are like being in double/layered liminality, one is from their status in the Thai society, and other is affected by COVID-19 which creates another layer of liminality to them.

iii. More difficulties

There is another group of migrant workers who decided not to return since they did not lose their job or their employer did not allow them to return.  This group may not face a double/layered of liminality, but they have to cope with difficulties on everyday life level while staying during this time.

Tee Tee works as a housekeeper in a suburb of Bangkok. She said that although COVID-19 did not make her lose her job, during lock-down she had to work longer hours and harder than before since her employer’s family members stayed at home. Apart from routine work, they demanded more services, so she had quite less time to relax. She said it was okay and better than losing her job. Similar to the case of Htoo Moo that works as a shop assistant in a center of Bangkok, she could not return to Myanmar since the employer did not want to take risk as she might not be able to return to Thailand again. She shared with me that she missed her family, especially her 2-year old son who she brought back to Myanmar last year and asked her parents to take care of him. She looked forward to seeing and hugging him again during the Thingyan, the Burmese New Year Festival. But it was impossible because of COVID-19. For her, Thingyan is not only just holidays, but a valuable time being at home in her house, relaxing, meeting friends and relatives, participating in religion ceremony, as well as taking care of official business, such as renewing her working permit.  

Win, a Lahu-Burmese man, works in an orchid farm in Nakorn Pathom. He shared with me that before COVID-19, he and his colleagues had to work every day. But during the lockdown, the orders from abroad stopped. His employer stopped cultivating orchids and laid off half the number of workers. He himself was not unemployed since he had been working with this employer for almost 8 years. But, he did not get paid his salary. The employer allowed him to stay in a worker house. He stopped sending remittances home for more than three months. His wife called and asked him when he could send her some money, his children have to eat every day. He wanted to find a part-time job in order to get some income, but it was impossible during this time. This made him stressed and he felt despair.

Tachileik, Myanmar / Mae Sai, Thailand: The time zone watches in the customs office ot the Myanmar-Thai Border. (c) CEphoto, Uwe Aranas

Tachileik, Myanmar / Mae Sai, Thailand: The time zone watches in the customs office ot the Myanmar-Thai Border. (c) CEphoto, Uwe Aranas

Conclusion

As we can see, COVID-19 outbreak affects migrant bodies in different and similar ways as Thai citizens. For the Burmese migrant workers, their body is necessary for the Thai economy as a body of labor, but not for something else. In a sense, it is a body that is disposable: if they go back, another migrant can take his/her place. In this sense, they are the quintessential 'other' to the Thai state (and many of its citizens who employ these migrants).

While COVID-19 exacerbated this focus on 'the body' by establishing a state of exception and erecting a strict health border in addition to the regular (political/geographical) border, returning Thai citizens suddenly found themselves subjected to a similar objectification, because their bodies as potential carriers of the virus were subject to the same health regime, which required anyone, citizen or non-citizen, to undergo several checks and enter into a liminal phase before being accepted back into Thai society. I showed in this article that the ultimate goal for Thai society hereby was purification of society, cleansing it of all virus elements, even getting international recognition for its successful response, yet irrespective of its own citizens left stranded abroad, a tanking economy, people losing their jobs, and increasing suicides nationally. Even after months of zero new cases, polls show widespread support in the population to keep the state of emergency going and maintain zero cases at all costs, which shows that the discourse of the purity of the Thai nation runs deep and is widespread (not only in the government). Even though Thai health authorities seem well-equipped to deal with a few cases if regulations would relax, it is still unclear when the state of emergency will be lifted.

—--

 * Commitee Member, Center of Excellence in Resource Politics for Social Development, Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University

[1] Dr. Taweesilp Visanuyothin is the spokesperson of Centre for Resolution of Emergency Situation-COVID-19. The quote is from Bangkok Post. (13th May 2020). No new Covid-cases for the first time retrieved from https://www.bangkokpost.com/thailand/general/1917380/no-new-covid-cases-for-the-first-time (last access on 1 October 2020)

[2] In Thailand everyone diagnosed with COVID-19 gets transported to the hospital and is put in quarantine.

[3] อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และคณะ (2020) โครงการวิจัย คนจนเมืองทmี่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

References

Agamben, G. (2005). State of Exception. Chicago: The University of Chicago Press.

Agamben, G. (2020, March 14). Retrieved from the Book Haven: https://bookhaven.stanford.edu/2020/03/giorgio-agamben-on-coronavirus-t…

Douglas, M. (1966). Purity and Dange: An Analysis of Pollution and Taboo. London: Routledge Classics.

Fassin, D. (2009). Another Politics of Life is. Theory, Culture & Society, 44-60.

van Schendel, W., & De Maaker, E. (2014). Asian Borderlands: Introducing their Permeability, Strategic Uses and Meanings. Journal of Borderlands Studies, 29(1), 3-9. doi: 10.1080/08865655.2014.892689

——

This article was originally published on the Heinrich-Böll-Stiftung Southeast Asia website on 9 October 2020 at this link.

BOOK: The Water–Food–Energy Nexus: Power, Politics and Justice

nexus.jpg

Title:
The Water–Food–Energy Nexus: Power, Politics and Justice

Authors:
Jeremy Allouche, Carl Middleton, Dipak Gyawali

Year:
2019

Further details about the book are available here.

Open access copy of Chapter 4 of the book can be accessed here: “The Knowledge Nexus and Transdisciplinarity” 

The world of development thinkers and practitioners is abuzz with a new lexicon: the idea of "the nexus" between water, food, and energy which is intuitively compelling. It promises better integration of multiple sectoral elements, a better transition to greener economies, and sustainable development. However, there appears to be little agreement on its precise meaning, whether it only complements existing environmental governance approaches or how it can be enhanced in national contexts. One current approach to the nexus treats it as a risk and security matter while another treats it within economic rationality addressing externalities across sector. A third perspective acknowledges it as a fundamentally political process requiring negotiation amongst different actors with distinct perceptions, interests, and practices. This perspective highlights the fact that technical solutions for improving coherence within the nexus may have unintended and negative impacts in other policy areas, such as poverty alleviation and education.  

The Water–Food–Energy Nexus: Power, Politics and Justice lays out the managerial-technical definitions of the nexus and challenges these conceptions by bringing to the forefront the politics of the nexus, around two key dimensions – a dynamic understanding of water–food–energy systems, and a normative positioning around nexus debates, in particular around social justice. The authors argue that a shift in nexus governance is required towards approaches where limits to control are acknowledged, and more reflexive/plural strategies adopted.

This book will be of interest to academic researchers, policy makers, and practitioners in the fields of international development studies, environmental politics, and science and technology studies, as well as international relations.

Citation: Allouche, J., Middleton C. and Gyawali, D. (2019). The Water-Food-Energy Nexus: Power, Politics and Justice. Routledge-Earthscan: London and New York

JOURNAL ARTICLE: The Public Regime for Migrant Child Education in Thailand: Alternative Depictions of Policy

coverjounal.png

Publication date:
September 2018

Publication: Asian Politics & Policy

Authors:
Nongyao Nawarat and Michael Medley

Abstract:
This article analyzes the conceptualization and depiction of Thailand’s public policy on education for the children of migrant workers in the country by examining a cluster of fairly  recent  literature  on  the  subject.  The  studied  texts  broadly  share  the  view  that Thailand’s  policy  of  providing  full  education  to  these  children  is  subject  to  gaps  and patchy  implementation.  An  analytical  review  of  the  literature  on  conceptualizing  this policy shows, however, that this picture is misleading as it tends to reduce policy to an idealized  intention.  Rather,  Thailand  has  a  plurality  of  local  policies  ambiguously governed by a national policy, which in turn does not predominantly aim at education for all. We contend that our improved characterization of the situation helps create more productive openings for research and policy change on this important topic.

Read the article here.

JOURNAL ARTICLE: National Human Rights Institutions, Extraterritorial Obligations and Hydropower in Southeast Asia: Implications of the Region’s Authoritarian Turn

cover_issue_191_en_US.png

Publication date:
June 2018

Publication: Austrian Journal of Southeast Asia Studies

Authors:
Carl Middleton

Abstract:
This article examines the role of National Human Rights Institutions (NHRIs) and transnational civil society in pursing Extraterritorial Obligation (ETO) cases in Southeast Asia as a means to investigate human rights threatened by cross-border investment projects. Two large hydropower dams under construction in Laos submitted to NHRIs from Thailand and Malaysia, namely the Xayaburi Dam and Don Sahong Dam, are detailed as case studies. The article argues that the emergence of ETOs in Southeast Asia, and its future potential, is dependent upon the collaborative relationship between the NHRIs and transnational civil society networks. Whilst NHRIs are in positions of political authority to investigate cases, civil society also enable cases through networking, research, and public advocacy. Further institutionalization of ETOs is significant to emerging regional and global agendas on business and human rights, including the UN Guiding Principles on Business and Human Rights that both the Thai and Malaysian governments have expressed commitment to. However, in Thailand and its neighboring countries where investments are located there has been an authoritarian turn. Reflecting this, there are weakening mandates of NHRIs and reduced civil and political freedoms upon which civil society depends that challenges the ability to investigate and pursue cases.

Read the article here.

JOURNAL ARTICLE: Long-term recovery narratives following major disasters in Southeast Asia

JOURNAL ARTICLE: Long-term recovery narratives following major disasters in Southeast Asia

Most studies of major disasters focus on the impacts of the event and the short-term responses. Some evaluate the underlying causes of vulnerability, but few follow-up events years later to evaluate the consequences of early framings of the recovery process. The objective of this study was to improve understanding of the influence that recovery narratives have had on how decisions and actions are undertaken to recover from a disaster, and what influence this has had in turn, on long-term resilience. The study drew on comparisons and insights from four case studies in Southeast Asia: (1) local innovations that led to new policies for living with floods in the Mekong Delta in Vietnam following the 2001 Mekong River floods; (2) livelihood and infrastructure responses in Prey Veng, Cambodia, after the 2001 and 2011 Mekong River floods; (3) the role of the Panglima Laot, a traditional fisheries management institution, in the recovery process following the 2004 Indian Ocean tsunami in Aceh province, Indonesia; and (4) the challenges faced by small and medium enterprises in a market area following the 2011 floods in Bangkok, Thailand. This study identified alternative narratives on the purpose and means of ‘recovery’ with implications for who ultimately benefits and who remains at risk. The study also found both formal and informal loss and damage systems were involved in recoveries. The findings of this study are important for improving the performance of loss and damage systems, both existing and planned, and, ultimately, supporting more climate resilient development that is inclusive.

Read More

BOOK CHAPTER: Chapter 2: Living with the flood: A political ecology of fishing, farming, and migration around Tonle Sap Lake, Cambodia

BOOK CHAPTER: Chapter 2: Living with the  flood: A political ecology of  fishing, farming, and migration around Tonle Sap Lake, Cambodia

This chapter shows how small-scale farmers and fishers around Tonle Sap Lake have been relatively resilient to flooding. However, changing flooding regimes have created more regular shocks for farmers, whilst declining fish stocks are increasing fishing households vulnerability. These flooding-related shocks and associated vulnerabilities link to the creation of debt for farmers and fishers, which influences the decision to send household members to migrate. Whether the incentive for migration is livelihood diversification or debt repayment, the influence of the Tonle Sap’s flood regime from year to year is significant as it is generative of the viability of farming and fishing livelihoods. Household livelihood viability and associated vulnerabilities, however, is in turn determined by social factors, such as the politics and contestations over access to resources in the village, as well as national level policies on fisheries and farming and transboundary water governance.

Read More

BOOK CHAPTER: Chapter 5: Living with and against floods in Bangkok and Thailand's central plain

Publication date:
December 2017

Publication:
Living with Floods in a Mobile Southeast Asia: A Political Ecology of Vulnerability, Migration and Environmental Change

Authors:
Naruemon Thabchumpon and Narumon Arunotai

Editors:
Carl Middleton, Rebecca Elmhirst and Supang Chantavanich

For further details on the book and to purchase, please visit are Routledge Press.

For more information about our project Mobile political ecologies of Southeast Asia, please visit here and to view the full policy brief on the book's research, please visit here

In this chapter, Naruemon Thabchumpon and Narumon Arunotai present empirical research on the impacts of the major flood in 2011 in Thailand on three urban, one semi-urban and three rural communities. The chapter shows that whilst the rural communities are largely adapted to seasonal flooding, the 2011 flood increased vulnerability due to damage of property and livelihoods. In urban areas, communities were not well prepared and therefore were highly vulnerable. The chapter discusses the contentious politics of how vulnerability was exacerbated by government policy to protect core urban and industrial areas, leaving rural and suburban areas flooded. Thabchumpon and Arunotai nd that in the case studies selected the relationship between flooding and mobility is subtle. For example, some, but not all, rural migrants living in urban areas returned to their rural family homes, where living with floods was more feasible.

Please contact nthabchumpon@gmail.com for more information.

BOOK CHAPTER: Chapter 1: Migration and floods in Southeast Asia: A mobile political ecology of vulnerability, resilience and social justice

BOOK CHAPTER: Chapter 1: Migration and floods in Southeast Asia: A mobile political ecology of vulnerability, resilience and social justice

Flooding is a common experience in monsoonal regions of Southeast Asia, where diverse flood regimes have for centuries shaped agrarian and fisheries-based livelihoods. However, in recent public discourse, the link between flooding and migration is most often made with regard to catastrophic flood events. News images of frequent and intense weather-related flood events in the region’s low-lying megacity and delta regions in recent years has contributed to a perceived link between extreme environmental events and mass migration through displacement. Yet, this focus on mass displacement frames migration in largely negative terms. Mobility is seen as a failure of adaptation to a changing environment, with both trans-border and internal population mobility to some even regarded as a security issue.

Read More

BOOK: Living with Floods in a Mobile Southeast Asia: Vulnerability, Migration and Environmental Change

BOOK: Living with Floods in a Mobile Southeast Asia: Vulnerability, Migration and Environmental Change

Flooding is a common experience in monsoonal regions of South East Asia, where diverse flood regimes have for centuries shaped agrarian and fisheries-based livelihoods. In this book, we highlight the need for a nuanced understanding of the connections between flooding and migration in Southeast Asia. The book provides key insights from eight empirical case studies in urban and rural areas across Southeast Asia. Overall, through a better understanding of the relationship between migration, vulnerability, resilience and social justice in Southeast Asia, we aim to sensitize flood hazard policy agendas to the complexities of migration and mobility.

Read More

POLICY BRIEF: Living with Floods in a Mobile Southeast Asia: Vulnerability, Migration and Environmental Change

Flooding is a common experience in monsoonal regions of South East Asia, where diverse flood regimes have for centuries shaped agrarian and fisheries-based livelihoods. In this policy brief, we respond to the need for a nuanced understanding of the connections between flooding and migration in Southeast Asia. The policy brief summarizes key insights from a research project with eight empirical case studies in urban and rural areas across Southeast Asia. The policy brief outlines the multi-dimensional relationship between migration, vulnerability, resilience and social justice in Southeast Asia, cutting across the local, national and regional level, and offers recommendations on how to sensitize flood hazard policy agendas to the complexities of migration and mobility.

Read More

CONFERENCE PAPER: National Human Rights Institutions as Arenas of Transboundary Water Justice: Evaluating case studies from the Mekong River

National Human Rights Institutions as Arenas of Transboundary Water Justice: Evaluating case studies from the Mekong River

By Carl Middleton[1]

Presented at International Conference on National Human Rights Mechanisms in Southeast Asia: Challenges of Protection, Asia Center, Bangkok, Thailand, 13 - 14 July 2017

In Southeast Asia, major transboundary rivers such as the Mekong River are central to the food security, livelihoods and culture of millions of people. An increasingly extensive program of large hydropower dam construction is underway in Laos and Cambodia to meet domestic electricity demand and for power export to neighboring Thailand, Vietnam and China.  How the concept of justice in water governance should be understood and applied to transboundary rivers is increasingly the subject of critical analysis, including with regard to human rights-based approaches.
 
This paper examines how claims for justice on the Mekong Rivers around large hydropower dams have been made and framed within “arenas of water justice” in Southeast Asia, with a particular focus on mechanisms for extra-territorial obligations (ETOs) and the role of national human rights institutions (NHRIs) in Thailand. The research draws upon in-depth interviews and participatory observation with community representatives, civil society groups, NHRIs, government agencies and the ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights (AICHR) conducted during 2015 and 2016.
 
This paper discusses the roles, opportunities and challenges for public interest law and national/ regional human rights institutions to protect and promote human rights on transboundary rivers. It also discusses the strategies communities and civil society undertake in seeking to ensure their human rights are respected, including through national and regional human rights institutions. Overall, the paper argues that in recent years NHRIs have become important arenas of water justice in Southeast Asia for transboundary rivers, although also face limitations in particular regarding their authority to investigate cross-border cases and ultimately to hold domestic actors to account.

Download full paper click here.
Download Power Point of this paper click here.

Cite this article as: Middleton, C. (2017) "National Human Rights Institutions as Arenas of Transboundary Water Justice: Evaluating case studies from the Mekong River" Paper presented at the International Conference on National Human Rights Mechanisms in Southeast Asia: Challenges of Protection, Asia Center, Bangkok, Thailand, 13 - 14 July 2017

[1] Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University, Thailand. (Carl.Chulalongkorn@gmail.com)